OPPO N3 เตรียมเปิดตัว 29 ตุลาคมนี้ คาดมาพร้อมบอดี้โลหะ บางเบา และลิเทียมอัลลอย

 

oppo-n3-launch
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ OPPO N1 และ OPPO N1 mini มาแล้ว ล่าสุด OPPO ได้โพสต์ภาพกำหนดวันเปิดตัว OPPO N3 ในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ ผ่านแฟนเพจของตัวเอง โดยจะเปิดตัวที่ประเทศสิงคโปร์

 

โดยการเปิดตัวครั้งนึ้มาในคอนเซ็ปต์ “One More Step. N3. Designed for Life” ซึ่งจุดเด่นของ OPPO ซีรีส์นี้ คือเรื่องของกล้องหมุนได้ 206 องศา ที่ตอบโจทย์ไลฟสไตล์เซลฟีในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ฉะนั้น OPPO N3 คงต้องเพิ่มความอลังการให้กับกล้องฟรุ้งฟริ้งเป็นแน่

oppo-n3-metal

 

นอกจากนี้ยังมีภาพหลุดออกมากับเข้าด้วย ว่าจะมาพร้อมบอดี้ที่เป็นสแตนเลสสตีล และ ลิเทียมอัลลอย มาพร้อม 3 สี ขาว, ฟ้า และ ชมพู ทั้งนี้จากภาพหลุดยังสังเกตได้ว่าบอดี้จะบางมาก คล้ายกับ iPhone 6

oppo-n3-leak-1

 

อย่างไรก็ตาม หลายคนคงสงสัยว่า แล้วรุ่น N2 ล่ะ หายไปไหน ทำไมข้ามไป N3 เลย ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะมีการนับรุ่น N1 mini เป็นรุ่น N2 ไปแล้วก็ได้ เลยเปิดตัวเป็นรุ่น N3 ไปเลย

oppo-n3-leak-2

 

คาดว่า OPPO N3 น่าจะมาพร้อมหน้าจอ 5.9 นิ้ว ความละเอียด 1080p ส่วนซีพียูเป็น Snapdragon 805 และแรม 3GB แล้วมารอลุ้นกันในวันที่ 29 ตุลาคมนี้นะครับ

 

Source : OPPO, Geeky-Gadgets

 

 

[Sneak Preview] OPPO N1 Mini สุดยอดสมาร์ทโฟน กล้อง Selfie หมุนได้ 195 องศา

 

OPPO N1 Mini ถือเป็นมือถือกล้องฟรุ้งฟริ้งที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายภาพแบบ Selfie โดยเฉพาะ ด้วยกล้องที่สามารถหมุนได้ 195 องศา จะถ่ายด้านหน้าหรือด้านหลังก็เพียงแค่หมุนกล้องเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์การใช้งานสำหรับสาวก Selfie ที่ต้องการกล้องหน้าความละเอียดสูง ซึ่ง OopsMobile ก้ได้รับเกียรติเชิญเข้าร่วมงาน OPPO N1 Mini Blogger Day เลยถึอโอกาสนี้เก็บภาพมาฝากครับ

 

OPPO N1 mini มาพร้อมหน้าจอ 5 นิ้ว ทำให้มีขนาดที่เหมาะมือ กะทัดรัดยิ่งขึ้น ความละเอียดหน้าจอระดับ HD 1280 x 720 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 293 พิกเซลต่อนิ้ว

preview-oppo-n1mini-01

 

กล้องหมุนได้ 195 องศา ความละเอียด 13 พิกเซล เซนเซอร์ CMOS จากโซนี่ พร้อมเลนส์ที่มาพร้อมรูรับแสงกว้างถึง F2.0ให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้โดยไม่ต้องใช้แฟลช แต่เพื่อให้รองรับได้ทุกสภาพแสงจึงได้เตรียมแฟลช LED มาให้ 1 ดวง จากเดิมในรุ่นที่แล้วจะมี 2 ดวง

preview-oppo-n1mini-02

 

นอกจากกล้องที่หมุนได้แล้ว ยังมีโหมดถ่ายภาพ Selfie ที่ช่วยปรับให้ใบหน้าเนียนใส และยังมีโหมด Ultra HD ที่ถ่ายภาพต่อเนื่อง 6 ภาพแล้วนำภาพที่ดีที่สุดมารวมกัน จนได้ความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซล ซึ่งทำให้เก็บรายละเอียดของภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น นำไปอัดเป็นรูปโปสเตอร์ขนาดใหญ่ได้สบายๆ

preview-oppo-n1mini-07

 

ด้านข้างก็ดูไม่หนา ด้วยความบาง 9.2  มม. ดูตัวเลขแล้วเหมือนจะหนา แต่ดีไซน์ที่โค้งรับไปกับบอดี้ด้านหลังจึงทำให้ดูบาง

preview-oppo-n1mini-04

 

ขอบด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., ช่องเสียบสาย USB และลำโพง

preview-oppo-n1mini-03

 

ช่องใส่ซิมต้องใช้เข็มจิ้มถาดซิมเหมือน iPhone ถัดลงมาจะเป็นปุ่มโวลุ่มปรับระดับเสียง

preview-oppo-n1mini-05

 

ปุ่ม Power/Sleep อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง ตัวบอดดี้สีขาวจะเป็นผิวพลาสติกเนื้อด้าน ตัดขอบด้านข้างด้วยเส้นเมทาลิกคู่

preview-oppo-n1mini-06

 

เพื่อเพิ่มความสะดวกในการถ่าย Selfie ได้มากยิ่งขึ้น OPPO ได้เตรียม Oclick รีโมทชัตเตอร์บลูทูธ มาให้อีกด้วย โดยสามารถสั่งกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายรูปได้เลย ขายแยกเป็นอุปกรณ์เสริมในราคา 990 บาท

preview-oppo-n1mini-08

 

อุปกรณ์ในกล่องที่มีมาให้ คือ สาย USB, หัวชาร์จอะแดปเตอร์ และ หูฟัง

preview-oppo-n1mini-09

 

หัวอะแดปเตอร์ดีไซน์คุ้นๆ เนอะ ว่ามั้ย

preview-oppo-n1mini-10

 

สุดท้าย ย้อนให้ดูกล่องแพกเกจของ OPPO N1 Mini กับกล่อง OClick ที่ดูเรียบหรู

preview-oppo-n1mini-11

 

OPPO N1 mini มี 2 สีให้เลือก โดยตอนนี้วางจำหน่ายตัว สีขาวไปแล้ว ส่วนสีฟ้าอ่อน จะวางจำหน่ายประมาณกลางเดือน สิงหาคม นี้ สนนราคา 12,990 บ.

n1-mini_16

 

สเปก OPPO N1 Mini
• หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด HD 1280×720 พิกเซล  (293 PPI) ใช้หน้าจอแบบ IPS
• ซีพียู Qualcomm MSM8928 Quad-core 1.6GHz
• แรม 2 GB
• หน่วยความจำในตัว 16 GB (เพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้)
• กล้อง 13 ล้านพิกเซล หมุนได้ 195 องศา พร้อมโหมด Ultra HD 24 ล้านพิกเซล
• แฟลช LED 1 ดวง
• โหมดถ่ายภาพ Normal, HDR, Ultra-HD, Beautify, Panorama, Slow Shutter, Audio Photo, GIF mode
• ขนาดซิม Micro SIM
• เครือข่าย รองรับ 3G 850/900/1700/1900/2100MHZ

• ระบบปฏิบัติการ Android 4.3 พร้อม ColorOS  1.4
• การเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n, Bluetooth 4.0, NFC, USB OTG, GPS
• แบตเตอรี่ 2140 mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้
• ขนาด 148.4 x 72.2 x 9.2 มม.
• น้ำหนัก 150 กรัม

 

ณ จุดนี้ ก็ชมรายละเอียดคร่าวๆ ไปก่อนนะครับ ไว้ได้เครื่องมารีวิวเมื่อไร จะรีวิวแบบจัดเต็มมาให้ชมกันนะครับ พร้อมทิ้งท้ายกับภาพบรรยากาศภายในงาน Blogger Day

 

 

7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 สมาร์ทโฟน สุดฟรุ้งฟริ้งในอวังกาศ

 

oppo_find7_03

 

เมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง OPPO Find 7 อย่างเป็นทางการ และอลังการดาวล้านดวงมากๆ จนรู้สึกแปลกใจว่าแบรนด์ OPPO เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขนาดนี้เลยเหรอ เพราะด้วยรูปแบบการจัดงานต้องบอกว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ คือแค่พนักงานที่คอยสาธิตฟังก์ชั่นการใช้งานตามฐานต่างๆ กว่า 7 ฐาน ก็เยอะมากจะแทบจะไม่มีที่ให้แขก สื่อมวลชนได้ยืนกันแล้วล่ะครัชชชช (อันนี้แซวนะ เปรียบเทียบให้รู้ว่าเยอะมากกว่าปกติจริงๆ)

 

เอาล่ะครับสำหรับใครที่อยากจะทำความรู้จักกับ OPPO Find 7 ว่ามันน่าสนใจแค่ไหน ผมจะสรุปรวบตึง ให้เห็นกันชัดๆ กับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 ไปดูกันเลยว่ามันจะฟรุ้งฟริ้งแค่ไหน

 

1. หน้าจอ 5.5 นิ้ว 2K Quad HD

3

เริ่มจากสิ่งแรกคือหน้าจอของ Find 7 ได้พัฒนาต่อยอดจากระดับ Full HD ใน Find 5 โดยร่วมกับ JDI ผู้ผลิตจอภาพระดับโลกที่ได้พัฒนาให้มีควมคมชัด และปรับสมดุลภาพหน้าจอให้ดูสมจริง บนขนาด 5.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูงระดับ 2K Quad HD (2560 x 1440 พิกเซล) มากกว่า 4 เท่าของระบบ HD (HD = 1280×720 พิกเซล) โดยมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วถึง 538 PPI (Pixel Per Inch) เรียกว่าหน้าจอของ OPPO Find 7 ออกมาปะทะกับคู่แข่งอย่าง LG G3 แบบเต็มๆ

 

2. VOOC Rapid Charge ระบบชาร์จแบตไว 4 เท่า

1_fast charge
ถือเป็นรุ่นแรกของ OPPO ที่ได้นำนวัตกรรมการชาร์จความเร็วสูง VOOC Rapid Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 40 นาที ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จแบบปกติถึง 4 เท่า สาเหตุที่ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นก็เพราะมีการออกแบบให้อะแดปเตอร์มีขั่วต่อพิเศษถึง 7 PIN ทำให้การประจุไฟมีประสิทธิภาพและเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนและเป็นอันตราย

 

3. จัดเต็มซีพียู Quad Core 2.5 GHz แรม 3 GB

oppo_find7_01
สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดที่ OPPO Find 7 ใช้เอาชนะคู่แข่งแบนด์ดังได้หมดก็ว่าได้ ด้วยซีพียู 4 แกนสมอง (Quad Core) Qualcomm Snapdragon 801 ตัวล่าสุด ความเร็ว 2.5 GHz ระบบประมวลผลกราฟฟิก Adreno 330 พร้อมด้วยแรมขนาด 3 GB เพียงพอต่อการรันกราฟฟิกหรือใช้งานแอพหลายๆ ตัวพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล และที่สำคัญ ยังให้พื้นที่หน่วยความจำในตัวเครื่องมามากถึง 32 GB และเพิ่ม Micro SD ได้สูงสุด 128 GB

 

4. ถ่ายวิดีโอระดับ 4K ถ่ายภาพนิ่ง 50 ล้านพิกเซล

oppo_find7_02
กล้องหลังมาพร้อมเซนเซอร์รุ่นล่าสุดของ Sony Stacked CMOS IMX214 กับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างถึง f2.0 ถ่ายที่มืดได้สบายๆ นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียดสูงระดับ 4K (3840 x 2160 พิกเซล) ซึ่งละเอียดกว่า Full HD ถึง 4 เท่า เรียกว่าชัดบาดตากันไปเลย แต่ที่ลำบากกว่านั้นคงต้องซื้อทีวีไหม่ที่รองรับภาพ 4K หรือ Ultra HD เพื่อเอาไว้รับชมนั่นเอง เหอะๆ และยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion 120 เฟรม/วินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720 P

 

ส่วนของการถ่ายภาพนิ่งจะมีเทคโนโลยี Pure Image 2.0 ที่จะเลือกส่วนที่ดีที่สุดของทั้ง 10 ภาพถ่ายแล้วนำมารวมกันจนได้ภาพความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซล สามารถพิมพ์ออกมาได้ภาพขนาดใหญ่เท่า Billboard

 

5. เปิดชัตเตอร์ได้นานสุด 32 วินาที

5
OPPO Find 7 มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Slow Shutter ที่สามารถเปิดหน้ากล้องหรือชัตเตอร์ได้นานสูงสุดถึง 32 วินาที เพียงเรามีขาตั้งกล้อง แล้วเข้าสู่โหมดนี้ จากนั้นก็ตั้งเวลาถ่ายตามต้องการ จะให้เปิด 10 วิ 20 วิ หรือสูงสุด 32 วินาที เพื่อถ่ายภาพแสงไฟจากรถบนท้องถนนให้เป็นเส้นๆ หรือจะวาดเป็นภาพกราฟิกจากไฟฉาย หรือดอกไม้ไฟก็ได้

 

6. Skyline Notification แสงไฟแจ้งเตือนสุดล้ำ

5OPPO Find7
ไฟแจ้งเตือนจากแอพต่างๆ ไม่ได้กะโหลกกะลานะเลยนะครับ มีการออกแบบอย่างตั้งใจ ด้วยการใช้นวัตกรรมกำเนิดแสง LGF (Light Guide Film) เป็นครั้งแรก ด้วยจุดกำเนิดแสงที่เรียงกันบนแผง LGF ถึง 3,140 จุด เพื่อทำให้เกิดเส้นแสงสีน้ำเงินสุดล้ำตรงส่วนท้ายของตัวเครื่อง

 

7. รองรับ 4G พร้อมวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ

4_4G
แม้ 4G ยังไม่บังเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในเมืองไทย แต่ค่ายไหนที่มีให้ลองใช้ก็สามารถพร้อมรองรับได้ทันที เพื่อการชมวิดีโอความละเอียดสูงแบบออนไลน์ไม่สะดุด นอกจากนี้ในแง่ของการดีไซน์ยังได้ผลิตจากวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ ด้วยไทเทเนี่ยม-อลูมิเนี่ยมอัลลอย คงทน แข็งแรง น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี และดีกว่าแมกนีเซี่ยมอัลลอยที่นิยมใช้กันทั่วไป

 

OPPO Find 7 วางจำหน่ายแล้วในราคา 19,990 บ.

 

 

 

รวมรหัสใต้ฝา สำหรับ Self Test ทดสอบมือถือ Android ทุกแบรนด์ ก่อนออกจากร้าน

 

สำหรับใครที่กำลังจะซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือเพิ่งถอยมาหมาดๆ ไม่เกิน 7 วัน ขอแนะนำว่าสิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการทดสอบฮาร์ดแวร์ส่วนต่างๆ ของตัวเครื่อง ด้วยระบบ Self Test ซึ่งบนสมาร์ทโฟนเกือบทุกยี่ห้อ จะมีรหัส Self Test มาให้ เพื่อใช้สำหรับทดสอบความสามารถของฮาร์ดแวร์ในส่วนต่างๆ เช่น หน้าจอแสดงผล, ระบบทัชสกรีน, เซ็นเซอร์ต่างๆ, ระบบเสียง, กล้องหน้า-หลัง เป็นต้น โดยหากจุดไหนที่ทดสอบแล้วไม่ตอบสนองหรือบกพร่องจากที่มันควรจะเป็น เราก็จะได้รีบส่งเคลมหรือเปลี่ยนเครื่องได้ตามเงื่อนไขของแต่ละยี่ห้อ

 

รหัส Self Test ของแต่ละแบรนด์มีดังนี้

Samsung กด *#0*#
Sony Xperia กด *#*#7378423#
HTC กด *#*#3434*#*#
LG กด 3845#*เลขรุ่น#
Oppo กด *#808#

Selftestcode

 

ส่วนวิธีการตรวจสอบของแต่ละแบรนด์ก็จะแตกต่างกันไป สำหรับการ Self Test ของ Samsung ทาง OopsMobile ได้เคยเขียนวิธีการไว้แล้วลองนำไปประยุกต์ใช้กันดูได้นะครับ เช็ค ก่อน ชิล… วิธีกดรหัส SELF TEST ตรวจสอบเครื่อง GALAXY NOTE 3