วิธีใช้ B612 แอพน้องใหม่จาก Line สำหรับถ่าย Selfie โดยเฉพาะ โหลดฟรีเฉพาะบน iOS ก่อนนะ

 
B612-06

 
Naver Japan เจ้าของเดียวกับแอพ Line เปิดตัวแอพใหม่ล่าสุด B612 – Selfie with the heart แอพสำหรับคนที่ชอบ Selfie เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะทำให้หน้าของเราสวยใส ไร้สติ.. เอ๊ย สวยใส ไร้ที่ติ ด้วยจุดเด่นต่างๆ ดังนี้

 

• มีฟิลเตอร์ให้เลือกมากถึง 43 แบบ และเลือกได้แบบเรียลไทม์ ก่อนถ่าย
• สามารถเปลี่ยนฟิลเตอร์ด้วยการสุ่มเลือกขึ้นมาได้ โดยแตะปุ่ม Random
• เพิ่ม Vignette หรือการเฟดแสงที่ขอบภาพให้ดูเหมือนผ่านกล้องรูเข็มได้
• Tilt-shift ทำเบลอรอบๆ จุดโฟกัสหรือรอบใบหน้า เพื่อละลายฉากหลังได้
• ปิดเสียงชัตเตอร์ขณะถ่ายรูปได้
• มีเฟลมให้เลือกหลายรูปแบบ และสามารถถ่ายหลายๆ รูป รวมลงในเฟลมเดียวกันได้
• แชร์ไปยัง Facebook, Twitter, Instagram หรือบันทึกลงใน Camera Roll ก็ได้

 

ส่วนที่มาของชื่อแอพ B612 คนไทยอาจจะงงๆ ว่ามันเกี่ยวกับอะไร จริงๆ แล้วชื่อนี้เป็นชื่อของดาวดวงหนึ่งใน นิยายชื่อดังเรื่อง “เจ้าชายน้อย” นั่นเอง

 

ขอบอกว่าแอพนี้ใช้ง่ายมากๆ ครับ เมื่อเข้าสู่แอพก็จะเข้าสู่กล้องหน้าให้โดยอัตโนมัติ จากนั้นระบบก็จะสุ่มฟิลเตอร์มาให้ หากไม่ถูกใจก็สามารถเปลี่ยนได้

B612-01

 

มีฟิลเตอร์ให้เลือกกว่า 43 แบบ หากต้องการใส่ Vignette (เฟดขอบภาพ) หรือ เบลอฉากหลัง ก็แตะเลือกจากปุ่มข้างซ้ายทั้ง 2 ปุ่มได้เลย (ปกติจะเลือกให้อยู่แล้ว)

B612-02

 

สามารถเลือกเฟลมในรูปแบบต่างๆ ได้ โดยจะให้ถ่ายทีละเฟลมลงไป อ่อ สำหรับวิธีการถ่ายรูปก็ให้แตะบนหน้าจอ 1 ครั้ง จะเป็นการกดชัตเตอร์ครับ เมื่อถ่ายครบทุกเฟลมแล้ว จะเข้าสู่หน้าแชร์ ไปยัง Twitter, Facebook, Instagram และ Save ลงเครื่อง แต่หากต้องการถ่ายใหม่ให้แตะสไลด์บนหน้าจอไปทางขวาเพื่อเริ่มถ่ายรูปใหม่ได้

B612-03

 

นอกจากนี้ยังสามารถแตะเพื่อเปลี่ยนโลโก้ เก๋ๆ ของ B612 ได้อีกด้วย (แต่เอาออกไม่ได้นะครับ)

B612-04

 

หากต้องการตั้งค่าของแอพ ให้แตะสไลด์ขึ้นจากหน้าแรกของแอพ

B612-05

 

แอพ B612 ดาวน์โหลดฟรี บน App Store รองรับได้ทั้ง iPhone, iPad, iPod ก่อนในช่วงแรก ส่วน Android ยังต้องรอกันไปก่อนนะจะ

 

 

ล้วงลับโปรแกรม iTools มือขวาจัดการสารพัดไฟล์บน iDevice

Wassuppp! ถ้าพูดถึงโปรแกรม iTunes ใครๆก็บอกว่าใช้ยาก! (ทุกอย่างต้องอยู่ใน Library ถึงจะไม่หาย!!) แต่ถ้าจะให้ตัดขาดไปเลยก็คงทำไม่ได้ เพราะแม้แต่ iTools ที่เราจะมาล้วงตับ! เอ้ยล้วงลับกันในวันนี้ยังต้องพึ่งพา iTunes อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการดึงข้อมูลที่เคยแบ็คอัพ (Restore from Backup) หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น เป็นต้น

 

itools_01
หลายคนอาจไม่เคยเข้ามาดูหน้านี้ iTools มีแนะนำแอพแจกฟรีด้วยนะจ๊ะ เมื่อคลิก Download จะเปิดโปรแกรม iTunes ขึ้นมาให้ทันที

 

นอกจากนี้ที่ไม่ควรพลาดคือวิธีโอนไฟล์เข้าเครื่องเหมือนโยนเข้าโฟลเดอร์ (นี่ iOS นะ…นึกว่า Android) ทั้งรูปภาพ, เพลง, หนัง, แอพพลิเคชั่น (ถึงจะก็อปเข้า Camera โดยตรงไม่ได้แต่สร้างโฟลเดอร์ดึงภาพเข้าแอพ Photos ได้สบายๆ ที่สำคัญแปลงไฟล์หนังที่ไม่ใช่ mov, mp4 ด้วยปลั๊กอินในเสี้ยววินาทีช่วยให้เปิดดูผ่านแอพ Videos ได้แบบชิลๆ) รวมถึงมองเห็นโฟลเดอร์ของแอพพลิเคชั่นต่างๆบน iDevice อยากจะแก้ไขหรือลบก็ทำได้ ยกตัวอย่างเช่น เข้าไปเปลี่ยนธีมในโฟลเดอร์แอพ Line เป็นต้น ที่เล่ามายังเป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆ ถ้าพร้อมจะล้วงลับกับเราแล้วไปดาวน์โหลดและติดตั้ง iTools กันก่อน

 

ดาวน์โหลด iTools

เว็บหลักของ iTools อาจจะมีปัญหาเราเลยใช้วิธีดาวน์โหลดและติดตั้ง iTools เวอร์ชั่นเก่าไปก่อนแล้วค่อยอัพเดทภายหลัง

 

itools_01
เปิดโปรแกรม iTools ขึ้นมาให้รอสักครู่จะมีหน้าต่างแจ้งเตือน ให้คลิก Update Now รออัพเดทเวอร์ชั่นใหม่สักครู่

 

itools_03_1
เมื่อเชื่อมต่อ iDevice เข้าคอม จะเห็นข้อมูลและเมนูแสดง 3 ส่วนหลักๆ คือ Library, Online, และ Device

 

Library

ไลบรารีจะเป็นห้องเก็บไฟล์แบ็คอัพ 2 ส่วนคือ Application สำหรับเก็บไฟล์แอพ .ipa ที่ดาวน์โหลดจาก iTunes หรือเว็บแคร็ก เป็นต้น และ Tools เครื่องมือติดตั้งแอพ และดึงข้อมูลแบ็คอัพใน iTunes เข้ามา ดังนั้นถ้าใครมีไฟล์ .ipa อยู่แล้วสามารถลากมาฝากไว้ที่นี่หรือทำตามนี้ได้เลยค่ะ

 

itools_04
คลิก Add เพิ่มไฟล์แอพ .ipa จากคอมเข้าไลบรารีก่อน แล้วค่อยคลิก Install ติดตั้งลง iPhone ทีหลัง ส่วนแอพแคร็กจะลงได้ต่อเมื่อเป็นเครื่องเจลเบรคและติดตั้งทวีค Appsync เรียบร้อยแล้ว

 

itools_05
ในส่วนของเมนู Tools เราจะนิยมใช้ 2 เครื่องมือนี้เป็นหลัก คือ iTunes Backups ดึงข้อมูลที่เคยแบ็คอัพใน iTunes เข้าอุปกรณ์อีกครั้ง และ iTunes auto backup เลือกเปิดเป็น ON ให้แบ็คอัพอัตโนมัติ

 

Online

แนะนำแอพที่ควรดาวน์โหลด (Must-have), แอพแจกฟรี (Now Free) รวมถึงหมวดยอดฮิตบน iTunes มาให้เลือกและคลิกดาวน์โหลดได้ที่นี่ เมื่อคลิก Download จะเปิดโปรแกรม iTunes ขึ้นมาแทน เพื่อล็อกอิน Apple ID ได้นั่นเอง เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยเราจะได้ไฟล์แอพ .ipa เข้าคอมอัตโนมัติ สามารถนำไฟล์เข้าไลบรารี (ดูหัวข้อข้างบน) หรือติดตั้งเข้าอุปกรณ์ได้ทันที (ดูหัวข้อถัดไป)

 

itools_06
iTools แบ่งหมวดและคัดแอพมาให้โดยเฉพาะ เป็นอีกช่องทางที่นักโหลดไม่ควรพลาด

 

Device

เป็นส่วนที่เราจะได้ใช้งานมากที่สุดหลังจากเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าคอม ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

 

Applications แอพทั้งหมดที่อยู่ในอุปกรณ์

• ถ้าต้องการติดตั้งแอพเพิ่มให้คลิก Install แล้วเลือกไฟล์แอพ .ipa (จะลากไฟล์เข้ามาในโปรแกรมเลยก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ)

• ลบพร้อมกันหลายๆแอพให้คลิก Uninstall ด้านบน หรือลบทีละแอพให้คลิก Uninstall ท้ายแอพนั้นๆ

• แบ็คอัพพร้อมกันหลายๆแอพให้คลิก Backup ด้านบน หรือแบ็คอัพทีละแอพให้คลิก Backup ท้ายแอพนั้นๆ โดยจะเก็บเป็นไฟล์ .ipa ให้นั่นเอง

• เปิดดูข้อมูลของแอพต่างๆให้คลิก Browse ท้ายแอพนั้นๆ จะพบโฟลเดอร์และไฟล์คำสั่งมากมาย ยกตัวอย่างแอพ Downloader เราจะสามารถเข้าไปก็อปปี้คลิปหรือไฟล์เอกสารออกมาไว้ในคอมได้อย่างรวดเร็ว ไม่แนะนำให้ลบหรือแก้ไขไฟล์ที่ไม่รู้จักเพราะอาจทำให้ใช้งานแอพไม่ได้ นอกเสียจากเป็นไฟล์ที่เปลี่ยนได้ เช่น เปลี่ยนภาพ หรือ เปลี่ยนธีมแอพ Line เป็นต้น ควรมีตัวอย่างก่อนลงมือทำ

 

itools_07

 

Media เพิ่มหรือลบไฟล์เพลง, หนัง, ริงโทน ฯลฯ ในอุปกรณ์ เพียงแค่ลากไฟล์เข้ามาวาง แนะนำว่าต้องเป็นอุปกรณ์ที่เคยซิงค์บน iTunes มาก่อนสักหนึ่งครั้ง ถ้าไม่แน่ใจก็ลองลากเข้ามาก่อน ถ้าไฟล์ไม่มาค่อยว่ากันบน iTunes อีกที

• ถ้าต้องการเพิ่มเพลง mp3 ให้คลิก Music แล้วลากไฟล์ .mp3 เข้ามาวางได้เลย หรือจะคลิก New playlist สร้างรายการใหม่ก่อนลากเพลงมาวางก็ได้ โดยเพลงจะเข้าไปอยู่ในแอพ Music แท็บ Songs ทันที

• ถ้าต้องการเพิ่มเสียงริงโทน ให้คลิก Ringtone แล้วลากไฟล์ .m4r, .m4a, .mp3, .wav เข้ามาวางได้เลย หรือจะคลิก Make Ringtone ตัดต่อเพลงให้เหลือ 25 หรือ 40 วินาทีตามช่วงเพลงที่ต้องการ โดยริงโทนจะเข้าไปอยู่ในแอพ Settings>Sounds>Ringtone ทันที

• ถ้าต้องการเพิ่มคลิปวิดีโอ ให้คลิก Video แล้วลากไฟล์ mp4, m4v, mov, rmvb, avi, wmv, mkv, flv, f4v เข้ามาวางได้เลย โปรแกรมจะทำการแปลงไฟล์ให้รองรับอัตโนมัติด้วยปลั๊กอิน Converter โดยคลิปวิดีโอจะเข้าไปอยู่ในแอพ Videos แท็บ Movies ทันที

 

itools_08
กำลังลากไฟล์วิดีโอเข้ามาวางอย่างง่ายดาย ไม่ต้องซิงค์บน iTunes แล้วสินะ

 

Photos เพิ่ม, ลบ หรือก็อปปี้ไฟล์ภาพ ยกเว้นอัลบั้ม CameraRoll ที่เพิ่มไม่ได้ แต่สามารถสร้างอัลบั้มอื่นเข้าไปแทนได้ ดังนี้

• คลิกแท็บ Photos ด้านบน คลิกปุ่ม New album ตั้งชื่อตามต้องการ แล้วลากไฟล์ภาพเข้ามาวางในอัลบั้มได้เลย โดยรูปภาพจะเข้าไปอยู่ในแอพ Photos แท็บ Albums ตามชื่ออัลบั้มที่ตั้งไว้

 

itools_09
รูปนี้มองไม่เห็นปุ่ม New album เนื่องจากกำลังเปิดดูรูป ให้คลิกที่ Album list จะกลับไปหน้าแรก Photos และเจอปุ่ม New album แน่นอนค่ะ

 

iBooks เพิ่ม, ลบ หรือก็อปปี้ไฟล์ Book และ PDF ในอุปกรณ์ (อย่าลืมติดตั้งแอพ iBooks ด้วยนะจ๊ะ)

• ให้คลิกปุ่ม Import ด้านบน หรือลากไฟล์ .epub และ .pdf มาวางได้เลย โดยไฟล์จะเข้าไปอยู่ในแอพ iBooks ที่หน้า Library ทันที

 

itools_10

 

Information จัดการข้อมูลเบอร์โทร, ข้อความ, โน้ต, บุ๊คมาร์ค ฯลฯ บนอุปกรณ์ ถ้าใครเปิด iCloud เอาไว้จะมองไม่เห็น ให้เข้าไปปิด Contact, Note, Bookmark, Calendar ใน Settings>iCloud ก่อน

• ถ้าต้องการเพิ่มรายชื่อใหม่ ให้คลิกปุ่ม New พิมพ์ชื่อ เบอร์โทร ฯลฯ เสร็จแล้วคลิก Save

• ถ้าต้องการนำเข้ารายชื่อจาก Outlook, Gmail, ไฟล์ CSV หรือ VCF ให้คลิกปุ่ม Import/Export คลิก Import แล้วเลือกไฟล์รายชื่อที่ต้องการ

• ถ้าต้องการบันทึกรายชื่อไปยัง Outlook, Gmail, ไฟล์ CSV หรือ VCF ให้ติ๊กถูกหน้ารายชื่อ แล้วคลิกปุ่ม Import/Export คลิก Export ตั้งชื่อไฟล์และที่เก็บไฟล์ได้เลย

 

itools_12
โดยส่วนตัวชอบเก็บไว้รูปแบบไฟล์ VCF เพราะสามารถเก็บไว้ในอีเมล์ แล้วใช้แอพพลิเคชั่นเช่น Easy Backup ดึงเข้ามาในอุปกรณ์ได้ทันที

 

Desktop จัดการไอคอนหน้า Home Screen, แคปภาพ และบันทึกวิดีโอบนหน้าจอ

• ถ้าต้องการสลับตำแหน่งไอคอน หรือสร้างโฟลเดอร์ในหน้า Home Screen ให้คลิกแท็บ Icons แล้วลากไอคอนไปวางตำแหน่งที่ต้องการ หรือลากไปทับกันเพื่อสร้างโฟลเดอร์นั่นเอง

• ถ้าต้องการถ่ายภาพหน้าจอ หรือบันทึกวิดีโอ ให้คลิกแท็บ Live Desktop เพื่อแสดงภาพตามหน้าจออุปกรณ์ทันที แล้วคลิกไอคอนกล้องเพื่อแคปภาพ หรือคลิกไอคอนวิดีโอ (จุดวงกลมสีแดง) เริ่มบันทึกเป็นวิดีโอได้เลย

 

itools_13

 

FileSystem การเข้าถึงข้อมูลระบบที่ให้มาพร้อมอุปกรณ์จะต่างกันสำหรับเครื่องไม่เจลเบรค และเจลเบรค แน่นอนว่าเครื่องเจลเบรคจะเห็นโฟลเดอร์ในระบบมากกว่า เช่น เข้าถึงไฟล์ริงโทนที่ให้มาในระบบ และวางริงโทนของเราเข้าไปในระบบได้ เป็นต้น

itools_14

 

หวังว่าการล้วงลับครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการโอนข้อมูลระหว่าง iDevice และข้อมูลในคอมพิวเตอร์มากขึ้น ต่อไปจะล้วงลับอะไรอย่าลืมติดตามกันนะคะ

 

แอลจี ด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ ND8530 คุณภาพเสียงเหนือระดับ ดีไซน์สวยสะกดสายตา

LG ND8530
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ รุ่น ND8530 โดดเด่นด้วยคุณภาพเสียงเหนือระดับ และดีไซน์เรียบหรู ทันสมัย มาพร้อมฟังก์ชั่นอัจฉริยะ มอบสุนทรีย์แห่งเสียงเพลงทุกรูปแบบได้อย่างเต็มอรรถรส

แอลจี ด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ รุ่น ND8530 อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ได้เชื่อมต่อคอนเทนต์กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย อาทิ iPad และ iPod รวมถึงสมาร์ทโฟนที่รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android พร้อมสามารถเชื่อมต่อบลูทูธ สำหรับการสตรีมเพลงไร้สายจากสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและแล็ปทอป นอกจากนี้ยังมีช่องต่อ USB ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำกิจกรรมอื่นบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้อย่างสะดวกสบาย อาทิ สามารถรับฟังเพลงพร้อมกับชาร์จแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน หรือเพลิดเพลินกับการเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนได้ในเวลาเดียวกัน

medium04

แอลจี ด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ รุ่น ND8530 นี้ มอบพลังเสียง 80 วัตต์ ให้คุณภาพเสียงทรงพลังเมื่อเทียบกับขนาดที่กำลังพอเหมาะ หากผู้ใช้ต้องการฟังเพลงสบายๆ ระบบ Dynamic Loudness จะช่วยควบคุมระดับเสียงเบสและเสียงแหลมให้สมดุลแม้ขณะเปิดเสียงเบาที่สุด นอกจากนี้ ฟีเจอร์เข้ารหัสเสียง apt-X ยังสามารถปรับโทนเสียงให้ชัดใส มีชีวิตชีวา เมื่อเล่นเพลงที่สตรีมผ่านบลูทูธ โดยยังคงรักษาคุณภาพของต้นฉบับไว้

แอลจี ด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ รุ่น ND8530 มีดีไซน์ที่โดดเด่น ล้ำสมัย เรียบหรูด้วยสีขาว พื้นผิวสัมผัสแบบเมทัลลิค พร้อม Mood Lamp แสงแบบซอฟท์โทนที่ผู้ใช้สามารถปรับระดับแสงได้ตามความต้องการ ช่วยสร้างบรรยากาศและเพิ่มอรรถรสในการฟังเพลงมากยิ่งขึ้น

medium02

แอลจี ด็อกกิ้ง สปีคเกอร์ รุ่น ND8530 มีวางจำหน่ายแล้วในราคา 9,990 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2878-5757 หรือ www.lg.com/th

คุณสมบัติผลิตภัณฑ์รุ่น ND8530
? พลังเสียง 80 วัตต์ ระบบ 2 แชนแนล
? ดีไซน์ทรงกระบอกสีขาวเมทัลลิค (450 x 228 x 227 มม.)
? ด็อกกิ้งสองพอร์ตรองรับอุปกรณ์ระบบ iOS (พอร์ต Lightning) และ Android (Micro USB)
? Direct Dock และฟังก์ชั่น Playback รองรับอุปกรณ์ระบบ iOS และ Android (Jelly Bean)
? บลูทูธ (เวอร์ชั่น 3.0) และ ฟังก์ชั่น NFC (Tag On) สำหรับการเชื่อมต่อบลูทูธ
? ชาร์จแบตเตอรี่พร้อมกับฟังเพลงด้วยพอร์ต USB สำหรับอุปกรณ์ระบบ iOS และ Android
– ฟังเพลง: ตัวเชื่อม 30 พินและ 8 พินสำหรับอุปกรณ์ระบบ iOS (iPod / iPhone / iPad)
– ชาร์จแบตเตอรี่: อุปกรณ์ระบบ iOS และ Android (iPhone / iPod)
? ตัวเข้ารหัสเสียง apt-X และระบบ Dynamic Loudness
? Mood Lamp ปรับแสงได้ตามชอบ
? รองรับสัญญาณเสียงผ่านช่องต่อ Portable-in

รีวิว LG Pocket Photo เครื่องพริ้นไร้หมึก คู่ใจสมาร์ทโฟน

ReviewLG_Pocket_Photo_13

วันก่อนไปร่วมงานเปิดตัว Optimus G Pro กับเค้ามา แล้วบังเอิญเหลือบไปเห็นเจ้าเครื่องพริ้นพกพาของ LG เข้า เลยสอบถามข้อมูลด้วยความอยากรู้ ถามไปถามมาคุณแบงค์เจ้าหน้าที่ของทาง LG ก็ได้ส่งเครื่องมาให้รีวิวลองเล่นเลยซะงั้น อิอิ เสร็จเรา….

สำหรับเจ้าเครื่องพริ้นพกพา LG Pocket Photo เครื่องนี้ ถือเป็นรุ่นที่ 2 แล้วที่ทาง LG ได้วางจำหน่ายในเมืองไทย โดยรุ่นที่ผมได้มาคือ PD233 ความสามารถของมันก็คือพริ้นภาพถ่ายขนาดเล็กคล้ายๆ กับภาพถ่ายจากกล้อง Fuji Instax Polaroid ที่นิยมกัน ซึ่งมันจะสามารถรองรับการพริ้นจาก iPhone, iPad, iPod และ Android Phone ได้โดยตรง ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth โดยจะต้องดาวน์โหลดแอพที่ชื่อว่า Pocket Photo มาติดตั้งจึงจะสามารถสั่งพริ้นภาพออกมาได้

แกะกล่องเปิดซิง

ReviewLG_Pocket_Photo_01ReviewLG_Pocket_Photo_02

อุปกรณ์ทีให้มามีดังนี้

1. ตัวเครื่อง

2. สาย USB

3. อะแดปเตอร์

4. คู่มือ ภาษาอังกฤษ

5. Quick Reference Guide

6. ใบรับประกัน

7. กระดาษ Zink paper สำหรับพริ้น 1 แพ็ก มี 10 แผ่น

 

ดีไซน์กะทัดรัด

ReviewLG_Pocket_Photo_07

เริ่มต้นขอสำรวจเรื่องของดีไซน์ก่อนแล้วกัน ตัวที่ผมได้มาเป็นสีเงิน บนตัวบอดี้แอบสลักลายรูปหัวใจเล็กๆ เอาไว้ด้วย ดูเก๋ดีครับ ขอบด้านข้างตัวเครื่องเป็นสไตล์เมทาลิก ดูทันสมัย

ReviewLG_Pocket_Photo_03 ReviewLG_Pocket_Photo_04

 

เริ่มต้นใช้งาน

ReviewLG_Pocket_Photo_05
เลื่อนตัวล็อกเพื่อเปิดช่องใส่กระดาษ

 

ReviewLG_Pocket_Photo_06
ใส่กระดาษโดยหันด้านที่จะพิมพ์ขึ้น

 

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการใส่กระดาษพิเศษที่ให้่มา นั่นคือ Zink Paper โดยใส่เข้าไปพร้อมกับแผ่นกระดาษสีน้ำเงิน โดยคว่ำด้านบาร์โค้ดลงไปแล้วใส่ไว้ล่างสุด เมื่อสั่งพิมพ์ครั้งแรก ระบบจะอ่านบาร์โค้ดดังกล่าวเืพื่อเริ่มต้นการใช้งาน และจะดึงกระดาษสีน้ำเงินทิ้งออกไปเอง

 

เริ่มเปิดเครื่องกันเลย โดยกดปุ่ม Power ค้างไว้ 4 วินาที จนมีไฟติดสว่างขึ้นมา เสร็จแล้วก็เชื่อมต่อ iPhone ผ่านบลูทูธเสียก่อน แล้วค่อนเข้าสู่แอพ Pocket Photo

ReviewLG_Pocket_Photo_10
ไฟ Power ติดค้าง พร้อมใช้งาน

 

ReviewLG_Pocket_Photo_11
Pairing บลูทูธ โดยไม่ต้องใส่รหัสเลย ง่ายดี

 

จากนั้นก็เลือกรูปที่ต้องการจาก Camera Roll ได้เลย หรือจะถ่ายใหม่ก็ได้ เมื่อเลือกรูปได้แล้วยังสามารถใส่ฟิลเตอร์เพิ่มเติมได้อีก 16 แบบ (บน Android มีถึง 20 แบบ) หรือถ้ายังไม่ถูกใจ เราอาจจะเอารูปจาก Instagram มาพริ้นเลยก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่ QR Code เพื่อเพิ่มข้อมูลเช่นชื่อภาพ เบอร์โทร หรืออีเมล์ เว็บไซต์ต่างๆ ไว้ใน QR Code ได้อีกด้วย หรือหากต้องการพริ้นแบบหลายๆ เฟรมในรูปเดียวกัน สามารถเลือกรูปแบบได้ตามต้องการ

Filter

ReviewLG_Pocket_Photo_12

เมื่อตกแต่งเรียบร้อยแล้วก็แตะสั่งพริ้นได้เลย จากนั้นรอไม่เกิน 45 วินาที ก็ได้ภาพออกมาทันที

ReviewLG_Pocket_Photo_14

 

 

สั่งพริ้นผ่าน NFC แตะปุ๊บพริ้นปั๊บ

สำหรับโทรศัพท์ Android ที่รองรับ NFC จะสามารถพริ้นภาพผ่าน NFC เพียงเอาเครื่องแตะกันก็สั่งพริ้นได้ทันที หรือจะเสียบสาย USB เพื่อสั่งพริ้นก็ได้ นอกจากนี้แอพบน Android ยังมีฟังก์ชั่นให้มากกว่า เช่น Photo Card กรอบรูปการ์ดในโอกาสต่างๆ, เพิ่มพิกัด GPS หรือแชร์ภาพไปยังสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นต้น

pocket_Photo_android
Photo Card เฉพาะบน Android

 

Share
แชร์รูปที่ตกแต่งไปยัง Facebook เฉพาะบน Android

 

อีกหนึ่งอวัยวะคู่ใจของ Smartphone

ถือว่าเป็นของเล่นใหม่ที่เหมาะและคู่ควรกับสมาร์ทโฟนในยุคนี้ที่มาพร้อมกล้องคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปอัดรูป แถมยังออกแบบในสไตล์ของตัวเองได้อีกด้วย แต่สำหรับสาวก Windows Phone คงต้องรอกันไปก่อนนะ เพราะยังไม่มีแอพรองรับออกมา

แบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มสามารถพริ้นได้ประมาณ 15 แผ่น

Pocket Photo มีวางจำหน่าย 3 สี ชมพู, ส้ม, เงิน สนนราคา 4,990 บ.

ส่วนราคากระดาษ 1 กล่อง 30 แผ่น ราคา 399 บ. ตกแผ่นละประมาณ 13 บ.

สามารถหาซื้อได้ที่ ร้าน J Mart 12 สาขา

 

คลิปสาธิตการทำงานมาแล้ว คลิกดูเลย

[youtube link=”http://www.youtube.com/watch?v=9ygXxCLRhXc” width=”590″ height=”315″]

ขอขอบคุณ

บริษัท แอลจี (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฝื้ออุปกรณ์ในการทดสอบ

 

ฟีเจอร์ไหนที่ iOS 7 ก๊อปปี้เค้ามาบ้าง แซวขำๆ

hero

คงมีหลายบล็อกที่รีิวิวฟีเจอร์ใหม่ของ iOS 7 ออกมากันเต็มไปหมดแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่อยากจะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวซ้ำอีก เพราะยังไงๆ ก็คงเป็นข้อมูลที่เหมือนๆ กัน เนื่องจากได้มาจากแหล่งข่าวเดียวกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมานั่งจับผิดกันดีกว่า ว่ามีฟีเจอร์ไหนบ้างที่ iOS 7 ก็อปปี้แอนด์เดเวล็อปเขามาบ้าง อิอิอิ

Control Center <เหมือน> Quick Bar บน Android

images_1370893951iOS-7-01?quickbar

Quick Bar บน Galaxy S4

เปิดประเด็นแรกกันที่แถบควบคุมลัดหรือ Control Center ที่เพียงลากนิ้วบนหน้าจอจากล่างขึ้นบน ก็จะเปิดแถบนี้ขึ้นมา โดยจะมีปุ่มช็อตคัทต่างๆ เช่น เิปิด-ปิด WiFi, Bluetooth, Flight Mode, ไฟฉาย, นาฬิกาปลุก, เครื่องคิดเลข เป็นต้น ซึ่งเหมือนกับแถบควบคุมในหน้า Notifications บน Android 4.2 อย่างใน Galaxy S4 ที่จะมีแถบ Quick Bar ให้แตะเลือกเปิด-ปิดใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ แถมยังเพิ่มปุ่มควบคุมที่รองรับได้ตามต้องการอีกด้วย และที่สำคัญมันมีรองรับมาตั้งแต่รุ่น Galaxy S3, Note 2 แล้วนะจ๊ะ

 

Multitasking พรีวิวได้ <เหมือน> Windows Phone 8?
images_1370894662iOS-7-03??261753-microsoft-windows-phone-7-mango-multitasking

Multitasking บน Windows Phone 8

ถัดมาเป็นส่วนของการพรีวิวหน้าแอพที่รันค้างไว้แบบมัลติทาส์กกิ้ง ซึ่งจะแสดงหน้าแอพที่เปิดไว้ล่าสุดเอาไว้ด้วย จากเดิมที่เป็นเพียงแค่ไอคอน ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็คงได้แรงบันดาลใจมาจากกิ๊กเก่าอย่าง Windows Phone 8 นั่นเอง แต่แอปเปิ้ลก็ขอพัฒนาต่อยอดให้เหนือกว่าด้วยความสามารถในการรีเฟรชข้อมูลให้อัตโนมัติอย่างเช่น Facebook ที่จะอัพเดทข่าวใหม่ที่เข้ามาล่าสุดให้ทันทีเมื่อเรียกสลับแอพขึ้นมาใช้งาน แต่ได้ข่าวว่าจะทำให้กินแบตมากยิ่งขึ้น

 

Camera ใส่ฟิลเตอร์ก่อนถ่ายและหลังถ่ายได้ <เหมือน> Android

camera_filter_process_still_screen

อยากจะตะโกนดังๆ ให้ไปถึงเฮียจ๊อบส์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้ยินเสียเหลือเกินว่าฟังก์ชั่นกล้องบน iPhone เนี่ย ล้าสมัยกว่าเค้าเสียทุกที อย่ามาใช้ข้ออ้างเรื่องคอนเซ็ปที่ต้องการให้ง่ายในการใช้งานอีกเลย เพราะถึงไงผู้ใช้ต้องหาแอพมาตกแต่งภาพกันอยู่ดี แต่ถ้ามีมาให้แต่แรกทุกอย่างก็จะได้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งในภายหลังให้ยุ่งยาก ซึ่งจุดนี้ บน Android Phone ทุกยี่ห้อ เค้าก็มีกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจะครับ เจ้านายยยยยยย

 

AirDrop ส่งไฟล์ผ่าน WiFi เดียวกัน <เหมือน> Samsung Link

images_1370895934iOS-7-08

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่ได้สดใหม่อะไร และใครๆ เค้าก็ทำได้กันมานานแล้ว สำหรับการโอนถ่ายไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน ซึ่งบน Mac OS ด้วยกันก็ทำได้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะปล่อยให้รองรับได้บน iOS ก็เท่านั้น ที่สำคัญ คู่ไม้เบื่อไม่เมาอย่าง Samsung ก็มีฟีเจอร์แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเมื่อก่อนใช้ชื่อว่า Samsung Kies พอมาเป็นบน S4 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อแอพว่า Samsung Link แทน

 

Safari สไลด์เลือกแท็บได้ <เหมือน> Chrome Browser

images_1370896819iOS-7-09Chrome

?Tab ใน Chrome

หากใครเคยใช้ Chrome บน Android แล้วล่ะก็คงรู้ดีว่าเวลาที่เราจะสลับเปลี่ยนหน้าไปยังแท็บอื่นๆ ที่เปิดค้างไว้ก็เพียงแค่สไลด์ขึ้นๆ ลงๆ เลือกได้ตามสบาย แอปเปิ้ลเห็นแล้วคงอยากขออินเทรนด์กกับเค้าบ้างไรบ้างเลยจับมันใส่ลงใน Safari ของตัวเองเลยซะงั้น

 

App Store Auto Update อัพเดทแอพให้อัตโนมัติ <เหมือน> Play Store

images_1370898048iOS-7-014

อี๋! แอปเปิ้ลเพิ่งทำ ออโต้อัพเดทแอพได้เหรอเทอว์…นี่คงเป็นคำหยิกแกมหยอกจากสาวกแอนดรอยด์ด้วยความสะใจอย่างแน่นอน เพราะบน Play Store เค้าสามารถให้ผู้ใช้งานตั้งค่าอัพเดทแอพได้อัตโนมัติมานานแล้ว แต่สำหรับ App Store เพิ่งจะมาคิดได้ว่าเอ้…นี่สงสัยเราลืมอะไรไปรึเปล่านะ หุหุหุ

และนี่ก็เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ผมได้จับมาแซวเล่นๆ ขำๆ เท่านั้นนะครับ อย่างน้อยเชื่อว่าทุกอย่างที่แอปเปิ้ลได้พัฒนามา ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งานนั่นเอง โดยแอปเปิ้ลจะเริ่มปล่อยให้อัพเดทกันจริงๆ ก็ประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค. นี้ครับ ท้ายนี้ผมมีรูปจริงๆ ของ iOS7 เวอร์ชั่น Beta สำหรับนักพัฒนามาฝากให้ดูกันด้วยครับ

379582_10200894514838924_441954170_n
หน้า Home
7247_10200894516558967_1527709049_n
Folder สไตล์ใหม่
972267_10200894523559142_1211346161_n
แสดงแอพแบบมัลติทาส์ก
992971_10200894516118956_2117756610_n
หน้าแอพ Phone
969204_10200894522079105_1942570734_n
Control Center
602402_10200894515958952_96849112_n
เมนูใน Settings