และแล้วข่าวลือ ข่าวหลุด ทั้งหลาย ก็กลายเป็นจริงไปกว่า 99% กับการเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รวมถึง Wearable Device ตัวแรกของ Apple ที่ชื่ออย่างเป็นทางการอาจจะผิดคาดไปเล็กน้อย กับ Apple Watch โดยรายละเอียดทั้งหมดนี้ เราได้สรุปรวบตึงให้เพื่อนๆ เอาไว้แล้ว ไปอ่านกันได้เลยครับ
เริ่มต้นการถ่ายทอดสดผ่านเว็บ ปีนี้ต้องบอกว่าล่มไม่เป็นท่า ด้วยสัญญาณขัดข้องจนไม่สามารถชมได้ต่อเนื่อง จนผู้คนทั่วโลกบ่นกันเต็มไทม์ไลน์ ยังดีที่มีเว็บ Live Blog ต่างๆ ไว้สำรอง และ Apple เองก็มี Live Feed เฉพาะภาพนิ่งและข้อความเป็นครั้งแรกเอาไว้ด้วย ก็พอถูๆ ไถๆ กันไปก่อน
เมื่อ Tim Cook ขึ้นสู่เวที ก็ได้พูดถึงการเปิดตัว เครื่อง Macintosh ที่เป็นสุดยอดนวัตกรรม ครั้งแรก และยิ่งใหญ่ ซึ่งเคยเปิดตัวที่นี่ และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมาแล้วกว่า 30 ปี และวันนี้พวกเราจะมาสร้างประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง
และก็สมกับที่รอคอยกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus
โดย iPhone 6 มาพร้อมหน้าจอ 4.7 นิ้ว Retina Display ความละเอียด 1334×750 พิกเซล ความหนาแน่นต่อจุด 326 ppi ส่วน iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล ความหนาแน่นต่อจุด 401 ppi
เปรียบเทียบความหนาของตัวเครื่อง iPhone 5s หนา 7.6 มม. , iPhone 6 บางสุดเพียง 6.9 มม. ส่วน iPhone 6 Plus บางเพียง 7.1 มม.
One-Handed รูดขึ้นลงซ้ายขวาในแอพ safari และ Mail เพื่อเลื่อนตำแหน่งเวลาจะพิมพ์ URL หรือข้อความต่างๆ ด้วยมือเดียว
ซีพียู A8 64 บิตเจน 2 มีขนาดเล็กกว่า A7 อยู่ 13% ส่วนความเร็ว เหนือกว่า 50 เท่า จาก iPhone รุ่นแรก
ส่วน GPU หน่วยประมวลผลด้านกราฟิก ก็แรงขึ้นถึง 84 เท่า จาก iPhone Original รุ่นแรก
หน้า Home หมุนหน้าจอได้ในแนวนอน ซึ่งรองรับเฉพาะบน iPhone 6 Plus เท่านั้น จึงทำให้แอพ Mail สามารถเปิดอ่านอีเมล์ได้ง่ายขึ้น ในหน้าเดียว เหมือนการใช้งานบน iPad
เพิ่ม sensor ใหม่คือ Barometer วัดความกดอากาศ ทำให้บอกระดับความสูงได้เวลาเดินป่าเขา
ความอึดแบตเตอรี่เมื่อเทียบกันระหว่าง iPhone 5s/6/6plus มีทั้งเท่ากันและดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบการทำงานในแต่ละด้าน
ปัจจุบันนี้มีแอพมากกว่า 1.3 ล้านแอพแล้วนะจ๊ะ
ในส่วนของการสื่อสาร สามารถรองรับระบบ 4G LTE ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 150 Mbps และยังรองรับกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่ายในประเทศจีน
นอกจากนี้ยังรองรับการโทรผ่านเน็ต 4G LTE ด้วยฟังก์ชั่น VoLTE หรือ Voice Over LTE แต่ยังไม่รองรับกับเครือข่ายในเมืองไทย ต้องรอเปิดประมูล 4G กันก่อน
ส่วน Wi-Fi รองรับมาตรฐาน 802.11ac เรียบร้อยแล้ว เร็วขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า ซึ่งสามารถเชื่อมต่อด้วยความเร็วสูงสุดกว่า 500 Mbit/s ใกล้เคียง LAN Gigabit
กล้องก็ยังคงความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซล iSight รูรับแสงกว้าง F2.2 เท่าเดิม แต่พัฒนาให้ระบบออโต้โฟกัสแบบ phase detection ซึ่งเร็วและแม่นยำขึ้นเหมือน DSLR นอกจากนี้ยังโฟกัสใบหน้าหรือ Face Detection ได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น และรองรับการถ่ายโหมดพาโนรามาด้วยความละเอียดถึง 43 ล้านพิกเซล
มาพร้อมระบบลดภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilizer) ขยับเลนส์ชดเชยการสั่นที่ชิ้นเลนส์ เหมือนกล้องดิจิตอลบางรุ่น แต่มีเฉพาะบน iPhone 6 Plus เท่านั้น
กล้องหน้า FaceTime HD ตรวจจับใบหน้าแบบ Face Detection ได้เร็วขึ้น รวมถึง blink detection และ smile detection ด้วย ช่วยให้ทุกใบหน้าคมชัดเวลาถ่ายหมู่แบบ Selfie พร้อมด้วยโหมด burst selfie สำหรับถ่ายเซลฟีแบบรัวต่อเนื่อง 10 ช็อตต่อวินาที และที่สำคัญในแอพ Camera มาพร้อมระบบตั้งเวลาถ่ายอัตโนมัติได้แล้วนะครับ เลือกได้ 3 วินาที หรือ 10 วินาที
ถ่ายวิดีโอ 1080p ที่ 30fps และ 60fps และโหมด SLO-Mo ที่ 240fps เพิ่มขึ้นจาก 5s 120fps
มาถึง ระบบปฏิบัติการ iOS 8 พร้อมปล่อยตัวเต็ม 17 กันยายนนี้ ตามรายชื่อรุ่นต่างๆ ในภาพ
ราคาวางจำหน่าย iPhone 6 Plus เริ่มต้นที่ $299 เหรียญ กับขนาด 16 GB แล้วกระโดดไป 64GB และขนาดใหม่ 128GB ไปเลย ราคานี้ติดสัญญา 2 ปี ด้วยนะจะ ราคาเครื่องเปล่าคงแพงพอตัว
ราคา iPhone 6 เริ่มที่ $199 เหรียญ ติดสัญญา 2 ปี เช่นเดียวกัน อันนี้ดูแล้วราคาเท่าเดิม ค่อยพอรับได้หน่อย
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เปิดจองวันที่ 12 ก.ย. นี้ และจะวางจำหน่าย 19 ก.ย. ในสหรัฐและอีก 8 ประเทศแรก ซึ่งไม่มีประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น แต่คาดว่าจะวางจำหน่ายในไทยช่วงกลุ่มประเทศที่ 2 ราวเดือนตุลาคม
ยังไม่จบ Tim Cook กลับขึ้นสู่เวทีเพื่อนำเข้าสู่ฟีเจอร์ที่ทุกคนรอคอยกับระบบ Payment เตรียมบอกลากระเป๋าตังค์ คนอเมริกาใช้บัตรเครดิตรูดปรืดๆ สูงถึง 83% ลุงคุกจะจัดการด้วยอะไรดูรูปถัดไป
ระบบนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Apple Pay
หมายเลขบัตรจะไม่ถูกเก็บหรือใช้ร่วมกัน สามารถเพิ่มบัตรด้วยการถ่ายจากกล้อง iSight กรณี iPhone หายหรือถูกขโมยสามารถระงับการชำระเงินทั้งหมดได้ ส่วนหมายเลขบัตรไม่ต้องยกเลิกเพราะไม่ได้เก็บไว้ในเครื่องนั่นเอง
เวลาจะชำระเงินก็เพียงแต่นำ iPhone แตะที่แท่นตัดเงิน (คล้ายกับบัตรแรบบิต ของไฟฟ้า BTS) แล้วสแกนลายนิ้วมือผ่าน Touch ID บนปุ่ม Home เพื่อยืนยัน โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอหรือเข้าสู่แอพแต่อย่างใด เมื่อระบบตัดเงินเรียบร้อยแล้ว เครื่องจะสั่นและมีเสียงเตือนขึ้นมา
คอนเฟิร์ม iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อม NFC
Apple Pay มีบัตรผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่เข้าร่วมแล้วคือ American Express, Visa และ Master Card ซึ่งครอบคลุมผู้ถือบัตรเข้าไปกว่า 83% แล้ว และมีเคาน์เตอร์ Contactless payment รองรับตามร้านค้าต่างๆ กว่า 220,000 จุด ในสหรัฐอเมริกา โดยจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนประเทศอื่นๆ ยังไม่มีรายละเอียด
นอกจากนี้ยังใช้จ่ายเงินผ่านแอพต่างๆ สำหรับขาช้อปออนไลน์อีกด้วย เช่น Groupon, Starbucks, UBER เป็นต้น
แต่น แตน แต้น… ในที่สุดก็มาถึงไฮไลต์อีกตัวหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ Apple Watch สรุปไม่ใช่ชื่อ iWatch อย่างที่ลือกันมานาน ซึ่งวัสดุดูหรูหราพมีเมี่ยมมากๆ ทำจากสแตนเลส นาฬิกาที่ทิมคุกกล้าพูดว่าแม่นเวอร์ หากจะเพี้ยนก็แค่ 50 มิลลิวินาทีเท่านั้น
มีสีทอง 18 K ให้เลือกด้วย และมาพร้อมเซ็นเซอร์ถึง 4 จุด ที่ด้านหลัง
ควบคุมการใช้งานของ นาฬิกาด้วยกลไกพิเศษ ผ่านปุ่มหมุนที่เรียกว่า digital crown อารมณ์ให้ความรู้สึกเหมือนใช้นาฬิกาแบบเข็ม คลาสิกดี
หมุนที่ปุ่ม digital crown เพื่อซูมเข้า ซูมออกได้
Digital crown ยังทำหน้าที่เป็นปุ่ม Home ส่วนปุ่มติดๆกันด้านล่างคือ Digital Touch สำหรับแสดงรายชื่อที่เราสามารถติดต่อ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น และแชร์ข้อมูลการเต้นของหัวใจ
S1 processor ชิปประมวลผลที่ออกแบบเอง รวมทั้งเซ็นเซอร์ตรวจสอบการเต้นของหัวใจ, อินฟาเรด และ light LEDs
Taptic Engine เทคโนโลยีที่ทำให้ระบบสัมผัส, การแสดงผล และการได้ยินเป็นไปอย่างลงตัว
มีสายนาฬิกาให้เลือกเปลี่ยนถึง 6 แบบ ทั้งหนัง และสแตนเลส หน้าปัดเปลี่ยนได้หลายดีไซน์
Apple watch มีตัวเรือน 3 แบบคือ
Apple Watch ธรรมดา เป็นสเตนเลส
Apple Watch Sport ตัวเรือนอลูมิเนียมแบบเดียวกับ iPhone ซึ่งเบากว่า
Apple Watch Edition ตัวเรือนโลหะผสมทอง 18K ดูหรูหรา
แต่ละแบบจะมี 2 ขนาด เล็กและใหญ่ ขนาดเล็กสำหรับผู้หญิง เด็ก หรือคนที่ข้อมือเล็ก ส่วนขนาดใหญ่ก็เหมาะสำหรับผู้ชาย
แตะแอพพลิเคชั่นเลื่อนขึ้นลงซ้ายขวา หรือหมุนปุ่ม crown ซูมเข้าออก สามารถกดปุ่มลงไปเพื่อกลับหน้า Home ฟีเจอร์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ถือว่าแม่นยำ อยากรู้ว่าเราอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ต้องลอง แต่ไม่ใช่แค่โลกเท่านั้น ดวงจันทร์ก็รู้
เมื่อมีรายการแจ้งเตือนสามารถตอบกลับด้วยข้อความเสียง หรือส่งเป็นอีโมจิก็ได้ ส่วนวิธีใช้ Siri บน Apple Watch ให้กดปุ่ม digital crown ค้างไว้แล้วพูด
Apple Maps แสดงเส้นทางเท้าและรถยนต์ชัดเจน พร้อมลูกศรบอกทิศทางในการนำทาง
Digital Touch ด้านล่างปุ่ม digital crown จะแสดงรายชื่อที่ติดต่อได้ เพื่อแตะโทรออกหรือส่งข้อความ
นอกจากนี้ยังสามารถวาดรูปบนหน้าจอเพื่อส่งแทนข้อความไปให้เพื่อนที่ใช้ Apple Watch ด้วยกัน, ใช้เป็น Walkie Talkie, แตะเพื่อส่งข้อความการแจ้งเตือนเบาๆ ให้กับเพื่อนหรือคนรัก ว่าเรากำลังคิดถึงอยู่ และแตะ 2 ครั้งบนหน้าจอเพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วส่งต่อให้เพื่อนหรือคนพิเศษเพื่อบอกความรู้สึกได้อีกด้วย
มีการแจ้งเตือนจากแอพอื่นๆ ใน iPhone มาที่ Apple Watch เช่น Facebook, Twitter นอกจากนี้ยังเปิด API ให้นักพัฒนาสามารถเขียนแอพมาแจ้งเตื่อนบน Apple Watch ได้อีกด้วย ซึ่งเรียกว่า WatchKit
รวบรวมสถิติการออกกำลังกายที่มีการเคลือนไหวตั้งแต่เดินเร็วไปจนถึงวิ่ง แนะนำว่าควรให้ถึง 30 นาทีต่อวัน โดยสามารถตั้งเป้าหมายได้ 3 ภารกิจ Goal to sit less, move more และ get some exercise.
Apple Watch มาพร้อมระบบชาร์จไร้สายและเป็นแม่เหล็กแบบเดียวกับ Magsafe ตัวชาร์จของเครื่องแมค จึงทำให้ตัวเครื่องสามารถกันน้ำได้แต่ไม่ถึงขั้นจุ่มน้ำได้นะ เพราะไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อใดๆ ส่วนแบตเตอรี่ยังไม่เปิดเผยว่ามีความจุเท่าไร ใช้งานได้นานแค่ไหน
ทั้งนี้ มันยังรองรับการใช้งานร่วมกับระบบจ่ายเงิน Apple Pay อีกด้วย
Apple Watch สามารถทำงานกับ iPhone ได้ทั้งหมด 5 รุ่น ตั้งแต่ iPhone 5 ขึ้นไป
Apple Watch เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ $349 ต้นปี 2015 ถึงจะได้ใช้กันนะครับ แต่รับรองว่าคุ้มค่าการรอคอย
ปิดท้ายงานด้วยมินิคอนเสิร์ต เปิดอัลบั้มใหม่ของวง U2 และในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เตรียมเปิด iTunes รับอัลบั้มฟรีวง U2 ที่ iTunes music library, iTunes Radio และ Beats Music
ทั้งหมดที่ทุกท่านอ่านมานี้ ได้อัพเดทแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนให้สมบูรณ์และถูกต้องขึ้นแล้วนะครับ หลังจากเวอร์ชั่นแรกที่ได้โพสต์บทความขึ้นไป ซึ่งมีหลายประเด็นที่ขาดหายไป ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ
เครดิตภาพ จาก : The Verge, Thenextweb