Apple ปล่อยอัพเดท iOS 7.0.6 และ 6.1.6 สำหรับ iPhone 3Gs

อ้าวอยู่ดีๆก็มาเฉยเลย Apple ปล่อยอัพเดท 7.0.6 สำหรับชาว iOS เมื่อคราวที่แล้วปล่อยอัพเดท 7.0.5 สำหรับ iPhone 5s แต่คราวนี้ iPhone iPad iPod Touch ที่รองรับ iOS 7 ก็อัพกันได้แล้ว

ios7.0.6update

 
 
การอัพเดทครั้งนี้เป็นแค่การอัพเดทเล็กๆน้อยๆ แก้ปัญหาการความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเตอร์เนต เท่านั้น นอกจากนี้ Apple ยังใจดียังไม่ลืม iPhone 3Gs (น้ำตาจะไหล) ออกอัพเดท iOS 6.1.6 มาให้ด้วย เอ้า เฮ!

 

Source: Macrumors

[tips] วิธีป้องกันเด็กซนกด Delete App บนไอโฟน

สำหรับใครที่มีเด็กเล็กๆในบ้าน ที่ชอบมาเล่นซนกับไอโฟนของคุณ แล้วกดลบแอพพลิเคชั่น บางครั้งก็นะ บนไอโฟนของเรามันก็แอพเยอะจนเราก็แอบมึนว่ามันมีแอพอะไรบ้าง บางทีโดนลบไป เราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือบางทีรู้ว่าโดนลบแต่จำไม่ได้ว่าแอพตัวไหนหว่า? ที่โดนลบไป มาดูวิธีง่ายๆที่ป้องกันได้อย่างดีเลย แต่วิธีนี้บอกก่อนว่า ทำไปแล้วห้ามมึนเองนะคะ เพราะถ้าเกิดเราอยากลบขึ้นมา มันมีรหัสผ่าน  4 ตัวให้เรากดก่อนที่เราจะลบแอพอันนั้นซะเอง ถ้าลืมก็หมดกัน
 
 
เข้าไปที่ Settings>General

deleteapp1

 
 

ไปที่ Restrictions จะเห็นว่าเป็น OFF อยู่แต่ถ้าของใครเป็น ON แปลว่าคุณได้ตั้งรหัส 4 ตัวเอาไว้ ก่อนคุณจะเข้าโหมดนี้ได้ต้องใส่รหัส 4 ตัวที่คุณตั้งไว้ก่อน

deleteapp2

 
 

แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ได้ใส่รหัส 4 ตัวเปิดมาจะเจอหน้านี้ แล้วจะเห็นว่าไอคอนต่างๆที่โชว์ขึ้น จะออกสีจางๆ แตะลงไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้แตะที่ด้านบนสุด Enable Restrictions

deleteapp3

 
 

เสร็จแล้ว จะขึ้นหน้าให้ใส่รหัส 4 ตัวให้ตั้งรหัส 4 ตัวตามใจชอบ เอาแบบให้เราจำได้ดีที่สุด ข้อนี้สำคัญเพราะถ้าคุณลืมแล้วยุ่งเลย เพราะโหมด Restrictions เป็นโหมดเกี่ยวกับการควบคุมการตั้งค่าต่างๆมากมาย 4 ตัวเองจำง่ายๆ

deleteapp4

 
 

เมื่อตั้งรหัสผ่าน 4 ตัวแล้ว จะเห็นว่าไอคอนต่างๆจะเห็นชัดขึ้น และสามารถแตะที่ตรงไหนก็ได้ จริงๆตรงนี้เป็นแหล่งรวมสารพัดวิธีในการที่จะหลีกเลี่ยงให้ใครมาแอบเปลี่ยนการตั้งค่าในโหมดต่างๆในไอโฟนของเรา แต่ในวันนี้เราจะมาดูวิธีการตั้งค่าให้ ไม่สามารถมีใครมาลบแอพพลิเคชั่นของเราได้  ให้แตะไปที่ไอคอน Deleting Apps ให้เป็น OFF (ถ้าเป็น ON จะขึ้นสีเขียว)

deleteapp5

 
 

แค่นี้ก็เสร็จแล้ว กลับไปหน้า Home  ได้เลยแล้วลองแตะที่แอพพลิเคชั่นดูซักตัวจะเห็นว่าไม่มีรูปกากบาทขึ้นที่ไอคอนของแอพพลิเคชั่นแล้ว ซึ่งแปลว่าลบไม่ได้นั่นเอง

 
 

แต่ถ้าเราอยากจะลบแอพซะเอง ก็เข้าไปที่ Restrictions แล้วใส่รหัสผ่าน 4 ตัวที่เราตั้งไว้ ตรงไอคอน Deleting Apps ก็แตะเป็น ON แค่นี้ก็กลับมาลบแอพได้เหมือนเดิมแล้ว
 
 

สำหรับทริปในโหมด  Restrictions ยังมีวิธีป้องกันอะไรมากมาย แต่จะค่อยๆมาบอกวิธีการใช้งานโหมดนี้ทีละเรื่องนะคะ เพราะมันเยอะมว๊ากก ใครอยากรู้อะไรก็คอมเมนท์มาได้เลย เดี๋ยวจัดให้

รวบตึงเบาๆ iOS 7.1 beta 5 มีอะไรใหม่?

Wassuppp! ผ่านไป 1 เดือนหลังจาก Apple ปล่อย iOS 7.1 beta 3 และ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมากับ 7.1 beta 4 คงช่วยให้เราเห็นภาพรวมดีไซน์ใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และวันนี้ Apple ก็ได้ปล่อยเวอร์ชั่น 7.1 beta 5 ออกมาให้นักพัฒนาอัพเดทกันอีกครั้ง จะมีอะไรเพิ่มมาใหม่ต้องลองติดตามดูค่ะ ส่วนอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าจะมีอะไรออกมาค่อยว่ากัน..แต่ก็ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกทีแล้วสินะ โดยเฉพาะ iPhone 4 ทั้งรอทั้งหวัง! เพราะใครๆก็บอกลื่นขึ้นกว่า 7.0.4 เนี่ยสิ..อุ๊ปส์!!

 

Keyboard

คีย์บอร์ดถูกให้ความสำคัญอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนให้ดูง่ายและชัดขึ้น ครั้งนี้เพิ่มความชัดของการ Cap Lock ขึ้นไปอีก (แตะ Shift ติดกันสองครั้ง)

keyboardchanges
ภาพซ้ายแตะ Shift, ภาพกลางยกเลิก Shift, ภาพขวาแตะ Shift ติดกันสองครั้งเพื่อเปิดใช้ Cap Lock สำหรับใช้ตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น

 

 

Wallpaper

ใน beta 3 ได้เพิ่มคำสั่ง Motion สำหรับปิด parallax แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อคำสั่งเป็น Perspective Zoom ใน beta 5 เรียบร้อยแล้ว

 

iTunes Radio

เพิ่มปุ่ม Buy Album สำหรับซื้อทุกเพลงในอัลบั้มที่กำลังเปิดเล่นใน iTunes Radio ขณะนั้น

itunesradio

 

Siri 

เปลี่ยนเสียงพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม สำหรับภาษาอังกฤษ (ออสเตรเลีย), อังกฤษ ( สหราชอาณาจักร), ญี่ปุ่น และ ภาษาจีน ( แมนดาริน – จีน) ต้องลองฟังกันดูว่าสำเนียงจะเปะแค่ไหนนะจ๊ะ

 

Calendar

ปุ่มสลับมุมมองรายการเปลี่ยนพื้นให้เป็นสีแดงโดดเด่นกว่าเดิมที่เคยใช้สีชมพูบางๆใน beta 2 ส่วนลูกศรย้อนกลับไปดูมุมมองรายปีก็ไม่มีพื้นสีเทาแล้ว

calendar

 

Thanks. macrumors

 

[Tips] Dr.Fone สุดยอดโปรแกรมกู้ไฟล์บน iPhone ย้อนหลังได้เป็นชาติ

 

อยู่ดีๆก็ไปเจอโปรแกรมตัวนึงบอกได้เลย เจ๋งโพดๆ เคยมั้ยที่เราเคยทำข้อมูลไม่ว่าจะใน iPhone หรือ iPad หายไป แล้ว iTunes ก็ช่วยอะไรไม่ได้ วันนี้เลยมาแนะนำโปรแกรมตัวนึงชื่อ Dr.Fone พอลองใช้ดูแล้วมันแทบจะบันทึกประวัติศาสตร์การใช้งาน iDevice ของเราเลย โดยเจ้า Dr.Fone จะสแกนผ่านไอโฟนเครื่องปัจจุบันของเรา โดยใช้ Apple iD เป็นตัวสแกน สุดท้ายก็จะเจอข้อมูลเก่าๆตั้งแต่สมัย iPhone 3G ยังเจอเลย (ถ้าเราใช้ Apple ID ตัวเดิมมาตลอด) มาดูวิธีใช้งานกันเลยดีกว่า

0023216d_medium

ก่อนอื่น Download Dr.Fone ก่อน

Download For Mac      Download For Windows

 

 

เสร็จแล้วเปิดดปรแกรมขึ้นมาเลย จะเห็นว่าโปรแกรมสั่งให้เราต่อสาย iPhone กับคอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมต่อกับ Dr.Fone

dr.fone1

 

 
รอให้เครื่องสแกน ID แป๊บนึง

หลังจากนั้นเครื่องจะเริ่มสแกนข้อมูลทั้งหมดที่หายไป

 dr.fone2

 

 
พอสแกนเสร็จแล้ว ก็จะขึ้นข้อความว่า Dr.Fone ได้ทำการสแกนข้อมูลทั้งหมดมาได้แล้วทั้งใน iDevice, iTunes และ iCloud (เก็บมาหมดเลยจ้า) กด OK 

dr.fone3

 

 

หลังจากนั้นเราจะเจอแถบข้อมูลด้านซ้ายไม่ว่าจะเป็นรูป,contacts,Line,Whatsapp,SMS และอื่นๆอีกเพียบ Dr.Fone จะเอาคืนมาให้หมดที่เราคุย แชทอะไรกับใครไว้มาหมด ถึงจะลบไปแล้วก็มา สังเกตจะมีรูปถังขยะขึ้นแปลว่าเราอาจลบไปแล้ว หรือข้อมูลหายเองให้เราเลือกข้อมูลที่เราจะกู้กลับมา ในรูปเลือก contacts เสร็จแล้วกด Recover

dr.fone4

 

 
ให้ไล่เลือกข้อมูลทีละอันแล้วกด Recover  เพื่อนำข้อมูลกลับมาใส่ในไอโฟนหรือไอแพดปัจจุบันที่เราใช้อยู่ ทีนี้ถ้าเราอยากได้ข้อมูลที่หายไปจาก iTunes (ในกรณีที่เราอาจลบ iTunes ทิ้งไปจากคอมพิวเตอร์แล้วลง iTunes ใหม่แล้วข้อมูลหายไป) หรือ iCloud (ในกรณีที่เราเคยมี iCloud อันเก่าที่เคย Back up ข้อมูลไว้) ให้เรากดที่ Home

dr.fone5

 

 

จะเห็นแถบด้านบนให้เลือกว่าเราจะเอาข้อมูลจากไหนคืน อันแรกเรากู้กลับมาแล้ว เหลือ iTunes กับ iCloud ในนี้เลือก iTunes ก่อน

ขึ้นมาพรึ๊บเลย ทีนี้ก็เลือกกันเอาเองเลยว่าจะเอาข้อมูลจาก iDevice  เครื่องไหนคืน เลือกแล้วกด Start Scan ข้อมูลก็จะขึ้นมาเหมือนเดิมเป๊ะ ก็ทำเหมือนขั้นตอนก่อนหน้านี้ที่ได้อธิบายไว้

 dr.fone6

 

 
ทีนี้มาเลือกที่แถบ iCloud ดูบ้าง ก็จะเห็นช่องให้เราใส่ iCloud ID และ Password หลังจากนั้น Dr.Fone  ก็จะกู้ข้อมูลกลับมาให้ ก็เลือกข้อมูลที่ต้องการทำตาม Step เดิมเลย พอเลือกได้กด Recover เพื่อนำข้อมูลใส่ iDevice ของเรา เป็นอันเสร็จ

dr.fone7

 

 

ลืมบอกโปรแกรมนี้ไม่ฟรี นี่แหละคือข้อเสียของมัน ราคาจิ๊บๆมากอยู่ที่ $99 หรือ 3,400 บาทเอ๊ง (น้ำตาจะไหล)

The Lacie Fuel ฮาร์ดไดร์ฟไร้สาย 1TB สำหรับ iDevice และ Amazon Kindle

Wassuppp!  ถ้าใครรู้จักและชื่นชอบฮาร์ดดิสยี่ห้อดังอย่าง Seagate วันนี้จะได้เห็นฮาร์ดไดร์ฟพกพาตัวล่าสุด เรียกว่า The Lacie Fuel จากผู้ผลิตเดียวกันที่สามารถข้ามขีดจำกัดพื้นที่ของ iDevice เช่น iPhone, iPad ขนาด 16 GB, 32 GB และ 64 GB ให้เป็น 1 TB (1024 GB) แบบไร้สาย สำหรับเก็บข้อมูลทั้งภาพยนตร์ (500 เรื่อง), เพลง (160,000 เพลง), ภาพถ่าย (190,000 ภาพ) โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต และแชร์ได้พร้อมกันถึง 5 เครื่อง หากต้องการดูหนังผ่าน Apple TV หรือฟังเพลงผ่านลำโพง สามารถสั่งด้วยฟีเจอร์ AirPlay บน iDevice ได้เลย

 

5771-1280
อยากจะเก็บรูป เก็บหนัง เก็บเพลงก็ใส่ไว้ในนี้ ไม่จำเป็นต้องโหลดเข้า iDevice แล้วนะ

 

1-29-2014 1-51-55 AM
เห็นเก็บข้อมูลได้เยอะแบบนี้ แต่แบตอืึดถึง 10 ชม. เลยนะ มีพอร์ต USB 3.0 โอนถ่ายข้อมูลได้เร็วขึ้น 10 เท่า

 

รายละเอียดของ The Lacie Fuel

lacie

 

The Lacie Fuel จะทำหน้าที่เป็นเราเตอร์สร้างสัญญาณ Wi-Fi ในตัวเอง เพื่อให้อุปกรณ์อื่นๆ เชื่อมต่อได้โดยตรงไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่ก็สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi-hotspot แชร์เน็ตให้กับอุปกรณ์อื่นๆของเราได้ด้วย

1-29-2014 1-31-27 AM

 

การทำงานร่วมกัน AirPlay แค่แตะคำสั่งครั้งเดียวบน iDevice เราสามารถดูทุกอย่างที่เก็บไว้ในฮาร์ดไดร์ฟขึ้นหน้าจอทีวี ลำโพง ที่รองรับได้เลย

 

1-29-2014 1-42-34 AM

 

การดึงข้อมูลจากเครื่องคอมเข้าฮาร์ดไดร์ฟ คอมจะมองเห็นเป็นไดรฟ์ภายนอก สามารถอัพโหลดหรือดาวน์โหลดได้แบบไร้สาย รวมทั้งตั้งค่าให้ทำงานกับ Dropbox บนเครื่องคอมได้ด้วย เวลาเราซิงค์ไฟล์ในคอมเข้าฮาร์ดไดร์ฟก็จะเพิ่มไปยังโฟลเดอร์ Dropbox ให้อัตโนมัติ แต่ถ้าต้องการเพิ่มความเร็วเวลาโอนข้อมูลให้เปลี่ยนมาใช้สาย USB 3.0 จะเพิ่มความเร็วขึ้นเป็น 10 เท่า

 

การทำงานของฮาร์ดไดรฟ์ The Lacie Fuel ยังต้องใช้บริการแอพพลิเคชั่นชื่อว่า Seagate Media ทำหน้าที่จัดการไฟล์ แบ่งตามประเภทต่างๆ ช่วยให้เรียกดูง่ายขึ้น และเปิดดูไฟล์ในฮาร์ดไดร์ฟผ่านแอพได้ทันทีแบบ Full Screen

1-29-2014 1-41-26 AM

 

แอพ Seagate Media รองรับการทำงานกับ iDevice, Amazon Kindle และ Kindle Fire ดาวน์โหลดได้ที่นี่

iOS, Android,  Amazon Kindle

 

ราคาอยู่ที่ $200 ดูลิงค์สั่งซื้อคลิก เสียดายยังไม่ส่งมาเมืองไทย แต่น่าจะมีเว็บพรีออเดอร์ถ้าสนใจติดต่อหลังไมค์นะจ๊ะ

 

 

 

ข้อมูลจาก desirethis

 

Facebook อัพเดทใหม่เวอร์ชั่น 6.9 สำหรับ iPhone,iPad อยากบล็อคอะไรบล็อคเลย

S__1024066

 

Facebook ปล่อยอัพเดทใหม่คราวนี้ (เฉพาะ iOS )คงถูกใจใครหลายๆคนที่บางทีเราก็ไม่อยากอ่านสิ่งที่บางคนโพสต์ ถ้าจะให้ Unfriend  ก็ดูจะโหดร้ายไปไม่ถนอมน้ำใจ คราวนี้แหละ Facebook  เริ่มอ่านปัญหาหนักใจของผู้ใช้งานออก เลยออกฟีเจอร์ใหม่ อยากบล็อคอะไรบล็อคเลย หรือจะ บล็อคโฆษณาที่มารกไทม์ไลน์ของเรา จัดไป บล็อคอะไรยังไง? มาดูกัน

 
บล็อคเพื่อน

เข้าไปที่หน้า News Feed 

ลองไล่ดูว่าเพื่อนคนไหนที่โพสต์อะไรไม่เข้าตา แล้วอยากบล็อคๆไปซะ อะเจอแล้วคนนึง

แตะที่เครื่องหมายลูกศรตรงมุมบนขวาของข้อความที่เพื่อนเราโพสต์

fb6.9-1

จะขึ้นมาให้เราเลือก 3 อัน

• Hide คือซ่อนเฉพาะโพสต์อันนี้อันเดียว พอดีไม่ชอบดูคลิปฉาวเอามากๆ (ฮาๆ)

• Hide All From User คือซ่อนทุกโพสต์ที่คนคนนี้โพสต์

• Report/Mark As Spam  อันนี้คือแจ้งตำรวจ Facebook  ไปเลยว่านางคือสแปม

เลือกเอาตามสะดวกเลย

fb6.9-2

 
บล็อคโฆษณา

ก็ถ้ารำคาญจะเห็นก็จับ Hide ซะ วิธีการเดียวกับบล็อคเพื่อน

fb6.9-4

 
นอกจากนี้ Facebook 6.9 ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกอันคือ  อัลบั้มวิดีโอ เผื่อใครอยากจะสร้างอัลบั้มวิดีโอส่วนตัวก็สามารถทำได้แล้ว

fb-video

 
หวังว่าคงจะชอบกันนะ อ้อ เราซ่อนโพสต์เพื่อนหรือแปลตรงๆคือบล็อค เจ้าตัวเค้าไม่รู้หรอก ไม่ต้องห่วง

 

Go Mic Direct ไมโครโฟนจิ๋วแต่เจ๋ง สำหรับ Mac และ iOS

Samson-Go-Mic-Direct-Mac-001

 

Samson ปล่อยไมโครโฟนตัวใหม่ล่าสุด ” Go Mic Direct “  ไมโครโฟนขนาดจิ๋ว ไว้ใช้งานควบคู่กับ Mac, iPhone, iPod Touch และ  iPad หรือจะใช้กับคอมพิวเตอร์ PC ก็ได้โดยใช้หัว  USB เป็นตัวเชื่อมต่อ ส่วน iPhone 5 รวมไปถึง iDevic ที่รุ่นใหม่กว่านั้นจะต้องใช้หัวอแดปเตอร์เป็นตัวแปลง คือ Lightning USB Camera Adapter

MD821

ส่วน iPhone 4s รวมไปจนถึง iDevice รุ่นที่เก่าลงไปกว่านี้ ต้องใช้  30-pin Camera Connection Kit เป็นหัวแปลง

MC531_GEO_US

ทางด้านการใช้งาน Go Mic Direct สามารถรองรับพวกไฟล์เสียงที่มาจากวีดีโอ (podcasting ) , ใช้บันทึกเสียงการสัมภาษณ์ต่างๆ ,การบันทึกเสียงจาก Audio Note ,การบรรทึกเสียงใ่ส่ลงแอพพลิเคชั่นประเภท Voice recognition , Video Calling เช่น Facetime,Skype  หรือจะบันทึกเสียงลงวิดีโอ Youtube

Samson-Go-Mic-Direct-image-001

 

Go Mic Direct เป็นไมค์ที่สามารถบันทึกเสียงได้  2 ประเภท คือ

• omnidirectional คือบันทึกเสียงโดยรอบ

 •bidirectional คือ บันทึกเสียงจากไมโครโฟนโดยตรง (ตัดเสียงภายนอกออก เช่นเสียงกดคีย์บอร์ดขณะพิมพ์)

 

Samson ได้ออกแบบ Go Mic Direct มาให้ใช้ควบคู่กับแอพพลิเคชั่น Deck noise reduction ซึ่งสามารถดาว์นโหลดได้จาก App Store (ฟรี)

แอพพลิเคชั่นตัวนี้จะเป็นตัวสลับโหมดการใช้งานของไมค์ไปมาระหว่างโหมด omnidirectional ไปโหมด bidirectional 

 
ด้านสเปคของ Go Mic Direct

• หน่วยประมวลผล ความเร็ว  16-bit/44.1kHz

• flat frequency response การตอบสนองของเสียง 20Hz–18kHz

Go Mic Direct ไม่สามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เอง แต่สามารถรองรับการใช้งานของอุปกรณ์เสริมมาเป็นตัวช่วยได้

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ Go Mic Direct
 
Source: iDownloadingBlog

 

[Tips] เข้า Recovery Mode ง่ายๆ ไม่ต้องนับวินาที

mode

 

ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า Recovery Mode มีไว้ใช้ทำอะไรบ้าง?

• จำรหัส PassCode ไม่ได้

• จำรหัสผ่านใน Restriction Mode  ไม่ได้ (ในกรณีที่เราอยากจะรีเซทเครื่อง แต่เครื่องถามรหัสผ่านที่เราตั้งไว้ใน Restriction Mode )

• ไอโฟนไม่สามารถเชื่อมต่อกับ iTunes  ได้

• หรือในกรณี iPhone 5s เกิดมีใครไปแอบตั้งสแกนนิ้วมือไว้ แล้วเราปลดล็อคไม่ได้ เราสามารถล้างสแกนนิ้วมืออันนี้ทิ้งได้

 

คร่าวๆก็มีประมาณนี้ ถ้าไอโฟนเราอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่ง แนะนำว่าเราต้องเข้า Recovery Mode ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่าการใช้ Recovery Mode จะเป็นการล้างข้อมูลใหม่หมดเหมือนออกจากโรงงาน ซึ่งวิธีนี้จะไม่อนุญาตให้เรา Back Up ข้อมูลใดๆ และข้อมูลอาจหาย ยกเว้นกรณีที่เคย Back Up เก็บไว้ใน iTunes มาบ้างแล้ว หรือ Back Up ลง iCloud เราก็สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้

ฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ เราควร Back Up ข้อมูลไว้สม่ำเสมอถ้าจะให้ดีก็ควร Back Up ลงใน iTunes จะดีที่สุด

 

หมายเหตุ: Recovery Mode ไอโฟนทุกรุ่นและทุกๆ  iOS สามารถเข้าได้หมด

 

วิธีเข้า Recovery Mode

หลายๆคนอาจเคยอ่านเจอส่วนใหญ่จะให้เรานับเป็นวินาทีในการแตะปุ่มแต่ละปุ่ม ทีนี้เราจะมาบอกวิธีซึ่งก็เป็นวิธีเดียวกันแบบทั่วๆไปแหละ แต่เราไม่ต้องนับวินาทีให้งง สับสน วิธีนี้จะใช้วิธีสังเกตสิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอ แล้วเราควรแตะปุ่มไหน ปล่อยปุ่มไหน เริ่มเลย..

 

1.เสียบสาย USB ที่ไอโฟนเพื่อเชื่อมต่อกับ iTunes 

 

images

 

 

2.เมื่อเชื่อมต่อเสร็จแล้วให้เรา ปิดเครื่องไอโฟน

iphone-slide-to-power-off

 

 

 

3. หลังจากปิดเครื่องให้เรากดปุ่ม เปิด/ปิดเครื่อง ค้างไว้

dfu1

 

4.รอจนกว่าจะมีรูป Apple ขึ้นมาแล้วเราก็กดที่ปุ่ม Home แต่ปุ่ม เปิด/ปิด ก็ยังกดอยู่นะ

dfu2

 

 

5. รอจนหน้าจอดับไปอีกครั้ง แต่ก็ยังกดปุ่ม เปิด/ปิด+ ปุ่ม Home ค้างไว้

dfu3

 

6.จนรูป Apple ขึ้นมาอีกครั้ง ให้ปล่อยมือจากปุ่ม เปิด/ปิด แต่ยังกดปุ่ม  Home ค้างไว้

dfu4

 

7.กดปุ่ม Home  ค้างไว้จนหน้าจอ ขึ้นรูป Recovery Mode  แล้วค่อยปล่อยมือจากปุ่ม Home

dfu5

 

8.ดูที่หน้าจอ iTunes บนคอมพิวเตอร์จะขึ้นข้อความแบบนี้ ให้กด OK

dfu6

 

9.หลังจากนั้น บนหน้าจอ iTunes จะเห็นปุ่ม Restore ให้เรากดปุ่ม Restore เพื่อเป็นการล้างเครื่องใหม่หมด

dfu7

เสร็จแล้วจ้า

ถ้าอยากดูให้ชัด เราจัดให้ด้วยคลิปนี้ค่ะ

[youtube link=”http://youtu.be/gthcmejzXtE” width=”590″ height=”315″]

[Tip] วิธีป้องกันเว็บไซต์อันตราย บน Safari

เดี๋ยวนี้มีพวกเว็บไซต์ปลอม อีเมลล์ปลอมที่ส่งลิงค์อะไรมามากมายให้เราหลงกลคลิกเข้าไป กรอก Username,Password แล้วสุดท้ายก็แฮกค์ข้อมูลเราไปอย่างง่ายๆ ใครที่เป็นคนหลอกง่าย ฟังทางนี้ สำหรับคนที่ใช้ไอโฟน ไอแพด ส่วนใหญ่ก็จะเข้าเว็บบราวเซอร์คือ Safari ทีนี้เรามาดูวิธีป้องกันเวบไซต์ปลอมต่างๆ เพื่อความปลอดภัยกับข้อมูลของเรา

 

ขั้นตอนก็ง่ายนิดเดียว แค่เราเข้าไปที่ Settings>Safari จากนั้นดูในส่วนของ Privacy & Security

เราจะเห็นบรรทัดแรก Do Not Track ก็คือเปิด ON ไว้เพื่อป้องกันเหล่าแฮกเกอร์ทั้งหลายที่จะมาทำมิดีมิร้ายในขณะที่เรากำลังท่องเว็บอยู่

 

บรรทัดที่สอง Block Cookies ก็คือเป็นการบล็อก Cookies ต่างๆในทีนี้เราเลือกที่จะบล็อก Cookies ที่มาจากแอพพลิเคชั่น third parties แล้วก็ตาม Ads โฆษณาต่างๆ

 

บรรทัดที่สาม Smart Search Field อันนี้ก็จะมีข้อความแนะนำเราเวลาที่จะ Search หาข้อมูลอะไร ก็จะแนะนำเวบไซด์ที่ปลอดภัยให้

 

บรรทัดที่สี่ อันนี้แหละที่เราจะพูดถึง Fraudulent Website Warning ให้เราเปิด ON ไว้

safari

 

 

ถ้าสมมติเราเล่น Facebook หรือ Twitter แล้วมีใครส่งลิงค์มาให้เรา ถ้าเราเปิดจากไอโฟน ลิงค์นั่นจะไปเปิดที่หน้า Safari โดยอัตโนมัติ และถ้าเราเจอเว็บไซต์อันตรายเข้า จะมีข้อความเตือนขึ้นมาเป็นแถบสีแดง ว่ามันคือเว็บไซต์อันตราย

 

iphone-os-31-antiphishing

 

ถ้ารู้กันแล้วก็เปิดกันเถอะนะคะ อย่าคิดว่าใช้ไอโฟนแล้วจะปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง  แต่ไหนๆเค้าก็มีฟังก์ชั่นนี้มาให้เราใช้กันนานแล้ว ก็จัดกันไปได้เลยค่ะ

iOS 7.1 Beta 4 มาแล้ว มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง? ขอเทสดูหน่อย

IMG_0513
 
มาเร็วจริงๆ สำหรับ iOS 7.1 Beta 4 ที่ปล่อยออกมาให้นักพัฒนาได้ทดสอบกัน โดยสามารถอัพเดทแบบ OTA ที่ตัวเครื่องได้เลย แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปก็อดใจรอกันอีกนิด มาถึง Beta 4 แล้วอีกไม่นาน คงจะได้สัมผัสของจริงกัน ระหว่างนี้ก็ดูกันไปก่อนว่ามีอะไรปรับปรุงขึ้นบ้าง ซึ่งหากดูจากรายละเอียดในการแจ้งเตือนให้อัพเดทแล้ว จะเป็นเพียงการแก้ไขบั๊กต่างๆ เท่านั้น จึงยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าอีกไม่นาน แอปเปิ้ลคงจะปล่อย iOS 7.1 ให้อัพเดทกันทั่วหน้าแล้ว

 

ios7.1beta4

 

หลังจากที่ได้ทำการอัพเดทเรียบร้อยแล้ว ทีนี้มาเช็คดูความเปลี่ยนแปลงกัน จริงๆ Beta 4 ไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรไปมากเท่าไหร่ เพราะตอน Beta 3 ได้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว แต่ก็มีบางจุดที่ iOS 7 Beta 4 เปลี่ยนไปบ้าง

 

ลูกศร Slide to Unlock สีขาวเข้มขึ้น จากที่แต่ก่อนจะจางๆจนแทบมองไม่เห็น  และตรงตัวอักษร Slide to Unlock ก็เพิ่มเอฟเฟคเป็นแสงเงาขึ้นมาให้ดูสวยขึ้นด้วย

slide2unlockbeta4


หน้า Home Screen ตัวอักษรใต้แอพพลิเคชั่นเห็นชัดขึ้น ทำให้อ่านง่ายขึ้น

homebeta4


ไอคอนแอพ Photos จากเดิมเกศรด้านในจะดูทับกว่า แต่อันใหม่ดูโปร่งใส่ขึ้น

 photo-icon

 
ในโหมดกล้องตรงฟังก์ชั่นแฟลช จะเป็นสีเหลืองเมื่อเลือกเปิดให้ทำงาน ซึ่งจริงๆ มีตั้งแต่ Beta 3 แล้ว แต่เรายังไม่ได้พูดถึงในบทความเก่า เลยขอหยิบยกมาให้ดูกันในบทความนี้

autofocus7.1beta4

 

มาดูที่ iPad กันบ้างดีกว่า iPad โดยทั่วๆไปการเปลี่ยนแปลงจะเหมือนๆกับ iPhone แต่มีอันนึงที่แตกต่างจาก iPhone คือ ตรงโหมดนาฬิกา ตรงที่เป็นการจับเวลา จะมีแถบสีแดงโค้งไปเรื่อยๆตามวงกลมระหว่างที่เวลาเดินไปในแต่ละวินาที

clock7.1beta4

 

เท่าที่ลองเล่นดูก็มีเท่านี้ ถ้ามีเพิ่มเติมเดี๋ยวมาบอกจ้า