[Update] รวบตึงวิธีใช้ Google Maps ปักและแชร์ไม่มีมั่ว ถ้าให้ชัวร์ต้องต่อเน็ต!

Wassuppp! อินเทอร์เน็ตเริ่มมีความสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้นทุกทีก็จริง แต่ถ้าไม่นับเอาไว้เล่นแอพโซเชียลหละ! อีกหนึ่งความจำเป็นที่ลืมไม่ได้คือใช้หาเส้นทางด้วย Google Maps แอพยอดนิยมบน iOS, Android และ Windows Phone ที่พร้อมเป็นไกค์นำทางไม่ว่าจะอยู่ในหรือต่างประเทศ แต่เวลาหนีเข้าซอยเล็กซอยน้อยอาจจะวิ่งผิดเลนนิดนึง! โดยมี GPS ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนช่วยเช็คตำแหน่งปัจจุบันของเราผ่านสัญญาณดาวเทียม และเสริมด้วยระบบ A-GPS (Assisted GPS) เพื่อช่วยระบุตำแหน่งในกรณีที่เราอยู่ในตึก ในอาคาร หรือในอุโมงค์ใต้ดิน โดยจะเปลี่ยนการอ้างอิงจากสัญญาณดาวเทียมมาเป็นเสาสัญญาณของผู้ให้บริการมือถือแต่ละค่าย และจุดให้บริการ Wi-Fi แทน ซึ่งจะทำให้ระบุตำแหน่งพิกัดของเราได้แม่นยำขึ้น (และเมื่อเราอยู่ในจุดที่พอรับสัญญาณจากดาวเทียมได้ก็เปลี่ยนกลับไปใช้ GPS แทน) Credit: คู่มือ iPhone 5s iOS 7 ฉบับสมบูรณ์ by Provision

 

Google Maps นอกจากจะช่วยนำทาง ยังช่วยหาสายรถเมล์, ปักหมุด, แชร์พิกัด ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่มีแผนที่ 3 มิติ (เหมือน Apple Maps บน iOS) แต่ยังมีแผนที่ Street View ดูภาพสถานที่จริงบนท้องถนน, สถานที่สำคัญ และบริเวณใกล้เคียงได้รอบโลก

ใครที่ใช้ iOS สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

Windows Phone  คลิกที่นี่

ส่วน Android ติดตั้งมาพร้อมเครื่องอยู่แล้ว แค่ต่อเน็ตก็พร้อมใช้งานแล้วค่ะ

 

ฟังก์ชั่น Google Maps

ฟังก์ชั่นหลักๆบน Google Maps เราได้พูดกันไปบ้างแล้ว ล่าสุดเวอร์ชั่น 2.6.0 บน iOS ได้รับการปรับปรุงโหมดนำทาง! เพื่อแจ้งเตือนให้เราทราบทันทีที่มีเส้นทางใหม่ให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น เพียงแตะยืนยันก็ใช้งานได้เลย ส่วนคุณสมบัติอื่นๆที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบมีดังนี้ค่ะ

• ครอบคลุมแผนที่นำทางใน 200 ประเทศทั่วโลก
• GPS นำทางด้วยเสียงแนะนำเส้นทางเลี้ยวเวลาขับรถ, ขี่จักรยาน และเดิน (เสียงภาษาอังกฤษ)
• ดูเส้นทางการเดินทางในแผนที่มากกว่า 800 เมือง
• รายงานสดการจราจรบนท้องถนน (หลายคนบอกช่วงมีการชุมนุมจะมีปัญหาเรื่องจุด POI เพี้ยนไปพอสมควร แต่แจ้งผลการจราจรแม่นเว่อร์!)
• ดูข้อมูลรายละเอียดได้มากกว่า 100 ล้านสถานที่
• ดูแผนที่เสมือนจริงแบบ Street View ดูภาพในร้านอาหาร, พิพิธภัณฑ์และอื่น ๆ

• จองเที่ยวบิน, โรงแรม และร้านอาหารบนแผนที่

 

Navigation-with-Dynamic-Rerouting-
ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด Faster route จะแสดงขึ้นมาหลังพบเส้นทางใหม่ ช่วยประหยัดเวลาได้มากทีเดียว ถ้าต้องการเปลี่ยนเส้นทางแตะ Reroute (iOS) หรือ Accept (Android)

 

เปิดใช้งานและนำทาง

เมื่อเปิดแอพ Google Maps ขึ้นมาจะมีป็อปอัพให้ยืนยันการเปิดใช้ Location Services ค้นหาตำแหน่งของเราอยู่แล้ว แต่ถ้าเผลอแตะ Don’t Allow สามารถกลับมาเปิดในแอพ Settings ได้ค่ะ ส่วนใครที่ถนัดใช้ Google Maps บนบราวเซอร์ก็ต้องเปิดใช้ Location ให้ด้วยเช่นกัน แต่วันนี้จะขอใช้แอพเป็นหลัก! และนำทางจากบ้านไปแถวที่ทำงานสักหน่อย ซึ่งข้อดีของ Google Maps คือฐานข้อมูลเค้าแน่นจริงๆ พิมพ์ภาษาไทยรู้จัก อังกฤษรู้จัก..ไม่เชื่อลองดู

 

IMG_0042 copy
การเดินทางครั้งนี้จะใช้ iPhone 5s ที่ว่ารองรับเน็ต 4G เผื่อรถจะวิ่งเร็วตามไปด้วย โดย iOS เข้าไปเปิด Location Services ได้ที่ Settings>Privacy>Location Services

 

IMG_0045 copy
เปิดแอพ Google Maps ขึ้นมา แตะ OK ยืนยันการใช้ไมโครโฟน จากนั้นแตะปุ่มสีน้ำเงิน Accept & continue

 

 

IMG_0048 copy
แตะ Skip ข้ามการลงทะเบียนแอคเคาท์ Gmail ไปก่อน แต่ถ้าใครจะ Sign In เลยก็ได้เพื่อเก็บประวัติการค้นหาและนำทางอัตโนมัติ

 

IMG_0049 copy
ตรงนี้สำคัญ..แตะ OK อนุญาตให้ค้นหาตำแหน่งปัจจุบันของเราได้นั่นเองค่ะ

 

IMG_0050 copy
จุดสีฟ้ามาแล้ว..นี้คือตำแหน่งที่เรากำลังยืนอยู่ แตะช่อง Search พิมพ์ชื่อสถานที่, ชื่อถนน, ชื่อซอยที่ต้องการค้นหาหรือนำทาง แล้วแตะปุ่ม Search/ค้นหา บนคีย์บอร์ด

 

IMG_0583
จากรูปพบคำตรงกันคือ S&P พหลโยธินเพลส ให้แตะที่รูปรถยนต์เพื่อเลือกเส้นทาง หรือแตะเปลี่ยนรูปแบบเป็นรถประจำทางหรือเดินก็ได้ เมื่อเปลี่ยนเป็นรถประจำทางจะค้นหาตำแหน่งของเราสักพักและประมวลผลเพื่อหาสายรถเมล์และระยะเวลาที่ใช้เดินทาง ตอนนี้ก็ยืนรอ 178 หรือ 136 สักพัก!

 

IMG_0053 copy
แต่ปัญหาอยู่ที่ Google พลาดบางสายไป สายนี้ไม่ต้องต่อรถด้วยจ้า นั่งยาว…

 

IMG_0057 copy
รถเมล์สายนี้วิ่งเหมือนสาย 136 แล้วไปต่อสาย 8 ตามที่ Google Maps บอก แต่ในที่นี้ขอเปลี่ยนเป็นรถยนต์เลือกเส้นทางที่เร็วที่สุด..เหมือนได้นั่งรถส่วนตัวแถมมีคนขับรถให้แล้วกัน จากนั้นแตะ Start navigation เริ่มนำทางกันเลย

 

IMG_0586
แตะ Start เริ่มนำทาง จะมีข้อความเตือนการใช้งานขณะขับรถ..เพื่อความปลอดภัยควรให้ความสำคัญรถบนท้องถนนมากกว่าหน้าจอ และก่อนถึงจุดเลี้ยวจะมีเสียงพูดให้ทราบล่วงหน้า (ภาษาอังกฤษ)

 

IMG_0588
เริ่มออกเดินทางจะเห็นระยะเวลาที่ต้องเดินทางด้านล่าง สามารถแตะ X เพื่อออกจากหน้านี้ หรือแตะปุ่ม 3 จุดทางด้านขวา เพื่อย่อแผนที่ดูภาพรวม (Route preview), ดูเส้นทางเป็นระยะๆ, ปิดเสียงบอกทาง, เปิดมุมมองภาพถ่ายดาวเทียม Satellite

 

IMG_0072 copy
อีก 1 ป้ายจะถึงพหลโยธินเพลสขอลงก่อนแล้วเดินไปดีกว่า มองไปฝั่งตรงข้ามเห็น S&P ที่นี่ก็มีเหมือนกัน

 

IMG_0078 copy
เมื่อแตะ X ยกเลิกการนำทางโดยรถยนต์แล้ว สามารถแตะที่รูปรถยนต์มุมบนซ้ายอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเป็นเดินเท้าได้ค่ะ เสร็จแล้วแตะที่เวลาเริ่มออกเดินทาง

 

IMG_0088 copy
ในแผนที่ยังเป็น S&P ที่ตึกพหลโยธินเพลส แต่อดใจไม่ไหวข้ามสะพานมาซื้อฝั่งนี้แทน (เปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาสินะ!) ซื้อเสร็จแล้วก็เดินตามจุดสีฟ้าๆ รับรองว่าถึงพหลโยธินเพลสแน่นอนค่ะ

 

แสดงเส้นทางการจราจร

ขณะดูแผนที่ถ้าจะให้แสดงเส้นทางการจราจรต้องเลือกคำสั่ง Traffic ที่ซ่อนอยู่ในปุ่ม 2-6-2014 8-14-03 PM บนหน้าจอก่อน

IMG_0610
แดงหมายถึงรถติดขั้นวิกฤติ, เหลืองยังไปได้เรื่อยๆ, เขียวเหยียบมิด

 

 

ดูแผนที่ Street View

เป็นการดูภาพสถานที่จริงบน Google Maps ค้นหาได้ทั้งชื่อถนน ซอย บ้านเลขที่ ฯลฯ ทั้งในไทยและทั่วโลก หลังจากค้นหาแล้วแตะที่หมุดจะมีป้ายชื่อสถานที่นั้นๆขึ้นมา แตะที่ป้ายชื่อจะเห็นภาพ Street View (ถ้าไม่เห็นแปลว่ารถ Google ยังเข้าไม่ถึง) สามารถแตะที่รูปขึ้นมาดูได้เลย

IMG_0614
ในหน้า Search ยังมีสถานที่ที่ Google แนะนำ เช่น ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ ฯลฯ ใกล้บริเวณที่เราอยู่ สามารถแตะ Save บันทึกสถานที่นั้นไว้ได้ (ต้องล็อกอินแอคเคาท์ Google ก่อน ดูหัวข้อถัดไป) ถ้าต้องการแชร์ให้แตะปุ่ม Share เลือกแอพที่จะใช้ส่งต่อได้เลย เมื่อแตะที่ภาพ Street View จะมีลูกศรสีขาวให้วิ่งตามถนนไปได้เรื่อยๆ

 

 

ประวัติการค้นหา

ถ้าใครยังไม่เคย Sign In ก็จะไม่สามารถเก็บประวัติ หรือบันทึกสถานที่ไว้ใน Favorite ดังนั้นให้ล็อกอินแอคเคาท์ Gmail กันก่อน

IMG_0596
แตะไอคอนเมนูเล็กๆเข้าหน้าตั้งค่า แตะ Settings แตะปุ่ม Sign in พิมพ์อีเมล์และรหัสผ่าน Gmail ให้ถูกต้อง เสร็จแล้วแตะ Sign in อีกครั้ง  แตะแท็บ Maps history เพื่อดูประวัติได้เลย

 

IMG_0620
Maps history จะแสดงรายการที่เคยค้นหา ถ้าต้องการเปิดดูรายการที่ Save เอาไว้ให้แตะไอคอนรูปคน! ในช่อง Search ก็จะพบรูปดาวอยู่หน้าสถานที่โปรดของคุณแล้ว

 

มีหลายคนถามว่าถ้าอยากรู้พิกัดละติจูดลองติจูดหาได้จากไหน หาบนแอพไม่เจอ! แนะนำให้หาผ่านบราวเซอร์บนคอมพิวเตอร์ค่ะ เข้าไปที่ maps.google.co.th หาสถานที่แล้วคลิกขวาบนหมุดเลือก นี่คืออะไร ภาษาอังกฤษใช้ What’s here? ก็จะแสดงเลขพิกัดขึ้นมาในช่อง Search ทันที เมื่อลองนำเลขพิกัดมาพิมพ์หาในแอพก็จะเจอสถานที่เดียวกันเปะๆ ส่วนกรณีอยู่ข้างนอกอยากบอกพิกัดเป็นตัวเลขบนระบบปฏิบัติการ iOS สามารถใช้แอพ Compass (เข็มทิศ) ดูพิกัดของตัวเองได้ แต่ต้องแคปหน้าจอส่งให้เพื่อนหรือพิมพ์ตัวเลขบอกผ่านแอพอื่นๆอีกที ไหนๆวันนี้ก็เดินทางบนบกกันมาทั้งวันถ้าสังเกตดีๆในปุ่มเมนูเล็กๆอันนี้  2-6-2014 8-14-03 PM ยังมี Public transit หารถไฟฟ้ามุดลงใต้ดิน (MRT), วิ่งลอยฟ้า (BTS) หรือ Bicycling หาถนนสำหรับปั่นจักรยาน ดูในแผนที่แล้วบ้านเราก็มีไม่น้อยเลยนะคะ แอบคิดไม่ได้ว่า Google Maps นี่มาสำรวจเมืองไทยไม่กี่ครั้ง เริ่มรู้เยอะกว่าเราแล้วนะเนี่ย..อุ๊ปส์!!

 

WeChat ขอท้าชาวโซเชียลมาร่วมประลองฝีมือไปกับเกม “GunZ Dash” ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท

 

WeChat Game Contest
WeChat ผู้นำนวัตกรรมด้านการสื่อสารด้วยโซเชียลแอพพลิเคชั่นผ่านอุปกรณ์มือถือยอดนิยม ขอท้าชาวโซเชียลมาร่วมประลองความมันส์กับการแข่งเกมแอนิเมชั่นสองมิติสไตล์ Side – Scrolling กับเกม “Gunz Dash” บน WeChat Games ทดสอบความเจ๋งของคุณผ่านการผจญภัยและตื่นตาตื่นใจไปกับโลกแห่งแฟนตาซีด้วยวิธีเล่นที่ง่ายแสนง่าย พร้อมประลองฝีมือกับเหล่าดาราดังมากมาย อาทิ เดี่ยว-สุริยนต์, จ๊ะจ๋า พริมรตา, โฟร์ ศกลรัตน์, ดีเจบุ๊คโก๊ะ, หญิงแย้ นนทพร และมาร์ช ฮอร์โมน พร้อมเหล่าเกมเมอร์มากมายที่ท้าให้คุณมาฟินไปกับเกม เพื่อชิงรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท

 

ร่วมลุ้นรางวัลง่ายๆ เพียงสตาร์ทความมันส์บน GunZ Dash จากนั้นแชร์คะแนนของคุณลงบน Moment แล้ว capture หน้าจอโมเมนต์และส่งมาที่ WeChat Team*

 

สำหรับผู้ร่วมกิจกรรมที่มีคะแนนรวมสูงสุด ลุ้นรับรางวัลใหญ่แพคเกจทัวร์ ไป-กลับสิงค์โปร์ พร้อมบัตรผ่านประตู Universal Studio Singapore ฟรี 2 ที่นั่ง, เครื่องเล่นเกม PS4, บัตรชมภาพยนตร์ โรง Enigma และรางวัลอื่นอีกมากมาย ร่วมสนุกกันได้ตั้งแต่วันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2557

 

รีบดาวน์โหลด GunZ Dash ฟรีที่ http://games.wechat.com/gunzdash/ หรือใน Google Play และ Apple Store แล้วมาสนุกไปด้วยกัน ติดตามประกาศผู้โชคดีผ่านทาง Games Thailand Official Account และ http://www.facebook.com/wechatthai อย่าช้า!! โอกาสเป็นผู้ชนะอยู่ในมือคุณแล้ว

 

*หมายเหตุ คัดเลือกผู้ชนะจากผู้ร่วมกิจกรรมที่มีคะแนนรวมสูงสุด โดยนับจากคะแนนที่สูงสุดของท่านในแต่ละวันรวมกันเป็นจำนวน 5 วัน

 

รวบตึงเบาๆ iOS 7.1 beta 5 มีอะไรใหม่?

Wassuppp! ผ่านไป 1 เดือนหลังจาก Apple ปล่อย iOS 7.1 beta 3 และ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมากับ 7.1 beta 4 คงช่วยให้เราเห็นภาพรวมดีไซน์ใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และวันนี้ Apple ก็ได้ปล่อยเวอร์ชั่น 7.1 beta 5 ออกมาให้นักพัฒนาอัพเดทกันอีกครั้ง จะมีอะไรเพิ่มมาใหม่ต้องลองติดตามดูค่ะ ส่วนอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าจะมีอะไรออกมาค่อยว่ากัน..แต่ก็ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกทีแล้วสินะ โดยเฉพาะ iPhone 4 ทั้งรอทั้งหวัง! เพราะใครๆก็บอกลื่นขึ้นกว่า 7.0.4 เนี่ยสิ..อุ๊ปส์!!

 

Keyboard

คีย์บอร์ดถูกให้ความสำคัญอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนให้ดูง่ายและชัดขึ้น ครั้งนี้เพิ่มความชัดของการ Cap Lock ขึ้นไปอีก (แตะ Shift ติดกันสองครั้ง)

keyboardchanges
ภาพซ้ายแตะ Shift, ภาพกลางยกเลิก Shift, ภาพขวาแตะ Shift ติดกันสองครั้งเพื่อเปิดใช้ Cap Lock สำหรับใช้ตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น

 

 

Wallpaper

ใน beta 3 ได้เพิ่มคำสั่ง Motion สำหรับปิด parallax แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อคำสั่งเป็น Perspective Zoom ใน beta 5 เรียบร้อยแล้ว

 

iTunes Radio

เพิ่มปุ่ม Buy Album สำหรับซื้อทุกเพลงในอัลบั้มที่กำลังเปิดเล่นใน iTunes Radio ขณะนั้น

itunesradio

 

Siri 

เปลี่ยนเสียงพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม สำหรับภาษาอังกฤษ (ออสเตรเลีย), อังกฤษ ( สหราชอาณาจักร), ญี่ปุ่น และ ภาษาจีน ( แมนดาริน – จีน) ต้องลองฟังกันดูว่าสำเนียงจะเปะแค่ไหนนะจ๊ะ

 

Calendar

ปุ่มสลับมุมมองรายการเปลี่ยนพื้นให้เป็นสีแดงโดดเด่นกว่าเดิมที่เคยใช้สีชมพูบางๆใน beta 2 ส่วนลูกศรย้อนกลับไปดูมุมมองรายปีก็ไม่มีพื้นสีเทาแล้ว

calendar

 

Thanks. macrumors

 

[Andriod] ถ้าเปิดดูโฆษณาบนมือถือแล้วได้เงิน เป็นใครใครก็เปิด บร๊ะ!

Slidejoy เป็นแอพพลิเคชั่นตัวใหม่บน Andriod Phone ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆนี้ โดยบริษัทแบรนด์ดังอย่าง  J. Crew, Adidas, Target, และ Best Buy ความน่าสนใจของแอพลิเคชั่นตัวนี้คือ เปลี่ยนความน่ารำคาญจากโฆษณาบนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเงิน  กรี๊ดดด

Slidejoy-ads-Android

 
 
จากคำอธิบายรายละเอียดของ Slidejoy คือ เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้เราโหลดมาเพื่อติดตั้งโฆษณาในหน้า Lock Screen บนสมาร์ทโฟนของเรา ซึ่งเราเลือกได้ที่จะเปิดดูโฆษณาอันนั้นหรือไม่ดูก็ได้  แต่ถ้าดูทางบริษัทที่เป็นเจ้าของแอพพลิเคชั่นตัวนี้ก็จะจ่ายเงินเราเป็นรายเดือน เดือนละ $5-15 หรือ 175-525 บาท ซึ่งแล้วแต่จำนวนครั้งที่เราสไลด์ดูโฆษณา ส่วนดีไซด์ของโฆษณาที่จะมาอยู่บนหน้า Lock Screen ก็ถูกออกแบบมาให้สวยงาม ในแบบที่เราพอจะรับได้  แต่ถ้าวันไหนไม่สนใจไม่อยากดู เราเลือกได้โดยสไลด์หน้าจอไปทางขวา ถ้าจะดูก็สไลด์ไปทางซ้าย แล้วรอรับเงินสิ้นเดือนได้เลย

Slidejoy-ad

 
 
ถือเป็นการสนับสนุนเยาวชน(ที่ใช้สมาร์ทโฟน) ให้มีรายได้พิเศษ อื้มมม…ก็เข้าท่านะ ส่วนชาว iOS ก็จะมีโอกาสได้เงิน เอ้ย..ได้โหลดแอพพลิเคชั่น Slidejoy ตัวนี้ได้เหมือนกันแต่น่าจะราวๆเดือนกันยายน ส่วนฝั่งแอนดรอยด์ได้โหลดกันเร็วๆนี้แน่นอน (แค่ยังไม่ระบุวัน)

 
 

ถามว่าโหลดมั้ย..โหลดสิโหลด

 

Source: Cnet

Facebook Paper รวมฟีดข่าวและโซเชียล ในสไตล์ Storytelling

Facebook-paper-01

Facebook ประกาศข่าวเตรียมเปิดตัวแอพ Paper สำหรับ iPhone แอพพลิเคชั่นล่าสุดที่จะออกมาเอาใจคนชอบอ่านข่าวโดยเฉพาะ ด้วยฟีเจอร์ที่มาในสไตล์คอนเซ็ปของ Storytelling ที่นำเสนอเรื่องราว ข่าวสารต่างๆ จากโซเชียลเน็ตเวิร์ค ได้อย่างสวยงาม โดยใช้ลูกเล่นการพลิกหน้าจอที่คล้ายกับการเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ ดูๆ แล้วก็เหมือนกับแอพ Flipboard นั่นเอง ไปดูกันเลยครับว่ามีอะไรที่โดดเด่นกันบ้าง
แสดงสถานะ รูปภาพที่เพื่อนๆ แชร์ ในรูปแบบใหม่ที่จัดเรียงร้อยเป็นเรื่องราว คล้ายๆ กับ Flipboard

Facebook-paper-02

 

เวลาดูรูปสามารถที่จะเอียงเครื่องซ้าย ขวา เพื่อดูภาพในมุมมองที่เหลือได้

Facebook-paper-03

 

รูปในอัลบั้มจะถูกจัดเรียงภาพลงมาให้เพื่อนสามารถลากดูได้

Facebook-paper-04

 

ไฮไลต์ที่สุดของ Facebook Paper ก็คือศูนย์รวมข่าวจากแหล่งข่าวอันดับต้นๆ ของโลก โดยจะมีหลากหลายหมวดให้เลือก และสามารถเปิดอ่านได้ง่าย เพียงเลื่อนหน้าขึ้น ลง หรือ เลื่อน ซ้าย ขวา เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนพลิกหน้าหนังสือพิมพ์

Facebook-paper-05

 

เลือกหมวดข่าวที่ต้องการได้ โดยมีมาให้กว่า 19 หมวด ทั้ง เฮดไลน์ข่าว, เทคโนโลยี, ตลก, อาหาร ฯลฯ
Facebook-paper-07

 

และแน่นอนว่ายังคงสามารถโพสต์รูป โพสต์สถานะต่างๆ ได้เหมือนกับ Facebook เช่นเดียวกัน จึงทำให้แอพ Paper อาจจะมาแทนที่แอพ Facebook ตัวเก่าไปเลยก็ได้

Facebook-paper-08

แอพ Paper จะเริ่มปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ เฉพาะผู้ใช้ iPhone เท่านั้น ส่วนระบบปฏิบัติการอื่น อาจจะต้องรอกันไปก่อน

 

ดาวน์โหลด Facebook Paper for iPhone 
ชมคลิปแนะนำแอพ Paper

[youtube link=”http://youtu.be/IhrbT9O6kW8″ width=”590″ height=”315″]

Source : Facebook Paper

 

Go Mic Direct ไมโครโฟนจิ๋วแต่เจ๋ง สำหรับ Mac และ iOS

Samson-Go-Mic-Direct-Mac-001

 

Samson ปล่อยไมโครโฟนตัวใหม่ล่าสุด ” Go Mic Direct “  ไมโครโฟนขนาดจิ๋ว ไว้ใช้งานควบคู่กับ Mac, iPhone, iPod Touch และ  iPad หรือจะใช้กับคอมพิวเตอร์ PC ก็ได้โดยใช้หัว  USB เป็นตัวเชื่อมต่อ ส่วน iPhone 5 รวมไปถึง iDevic ที่รุ่นใหม่กว่านั้นจะต้องใช้หัวอแดปเตอร์เป็นตัวแปลง คือ Lightning USB Camera Adapter

MD821

ส่วน iPhone 4s รวมไปจนถึง iDevice รุ่นที่เก่าลงไปกว่านี้ ต้องใช้  30-pin Camera Connection Kit เป็นหัวแปลง

MC531_GEO_US

ทางด้านการใช้งาน Go Mic Direct สามารถรองรับพวกไฟล์เสียงที่มาจากวีดีโอ (podcasting ) , ใช้บันทึกเสียงการสัมภาษณ์ต่างๆ ,การบันทึกเสียงจาก Audio Note ,การบรรทึกเสียงใ่ส่ลงแอพพลิเคชั่นประเภท Voice recognition , Video Calling เช่น Facetime,Skype  หรือจะบันทึกเสียงลงวิดีโอ Youtube

Samson-Go-Mic-Direct-image-001

 

Go Mic Direct เป็นไมค์ที่สามารถบันทึกเสียงได้  2 ประเภท คือ

• omnidirectional คือบันทึกเสียงโดยรอบ

 •bidirectional คือ บันทึกเสียงจากไมโครโฟนโดยตรง (ตัดเสียงภายนอกออก เช่นเสียงกดคีย์บอร์ดขณะพิมพ์)

 

Samson ได้ออกแบบ Go Mic Direct มาให้ใช้ควบคู่กับแอพพลิเคชั่น Deck noise reduction ซึ่งสามารถดาว์นโหลดได้จาก App Store (ฟรี)

แอพพลิเคชั่นตัวนี้จะเป็นตัวสลับโหมดการใช้งานของไมค์ไปมาระหว่างโหมด omnidirectional ไปโหมด bidirectional 

 
ด้านสเปคของ Go Mic Direct

• หน่วยประมวลผล ความเร็ว  16-bit/44.1kHz

• flat frequency response การตอบสนองของเสียง 20Hz–18kHz

Go Mic Direct ไม่สามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เอง แต่สามารถรองรับการใช้งานของอุปกรณ์เสริมมาเป็นตัวช่วยได้

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ Go Mic Direct
 
Source: iDownloadingBlog

 

รวมฮิตทุกข่าวลือของ iWatch

Watches_4_1_610x458_610x458

 

ทาง Cnet ได้ทำการสรุปรวมทุกข่าวลือของ iWatch เท่าที่เคยมีมาแถมทำคลิปแบบเอาฮาให้ดูกันด้วย แหม่ ดูแล้วเป็นกระบอกเสียงแทนคนเขียนข่าวเลย ข่าวลือเยอะจริง แต่ไม่ปล่อยออกมาซักที  สำหรับเจ้า iWatch ตัวนี้ มาดูรวมฮิตข่าวลือกันเลยดีกว่า

 
 
20 มกราคม 2014

ย้อนไปเมื่อ ตุลาคม 2013 ที่มีข่าวลือว่า Apple จับมือกับ LG ผลิตหน้าจอให้ iWatch 1.52 นิ้ว เป็นหน้าจอ OLED แล้วคาดว่ายังไงก็ต้องปล่อยภายในปี 2014

 
 
7 มกราคม  2014

มีข่าวแว่วมาว่า เกิดปัญหาขัดข้องในขั้นตอนการผลิต เกี่ยวกับแบตเตอรี่ ซึ่งปัญหานี้ยังไม่ได้บอกว่าจะแก้ได้เมื่อไหร่ ซึ่งทำให้ iWatch ต้องเลื่อนเปิดตัวไปก่อน
 
 

29 ตุลาคม 2013

หลังจากที่ Apple ตกลงให้ LG ผลิตหน้าจอ iWatch ให้แล้ว แต่ติดปัญหาตรง Apple กลัวว่าจะกลายเป็นแบรนด์ของ LG ไป จึงขอเปลี่ยนชื่อหน้าจอเป็น  RiTDisplay 

 
 
11 ตุลาคม 2013

มีข่าวออกมาว่า iWatch จะมีความสามารถระดับที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างในบ้านได้ เช่นปรับระดับอุณภูมิ เปิด/ปิด ทีวี เปิด/ปิด ไฟ

 
 
7 ตุลาคม 2013

มีข่าวออกมาเกี่ยวกับราคาของ iWatch  อยู่ที่ประมาณ $350 หรือประมาณ  12,000 บาท และคาดว่าความอัจฉริยะของ iWatch ที่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone  ได้ จะขายได้ประมาณ  5-10 ล้านเครื่อง และคาดว่า 12% ของผู้ใช้ iPhone จะต้องซื้อ

iWatch_Concept_Ciccarese

 
 

1 ตุลาคม 2013

มีแหล่งข่าวจากเกาหลีรายงานว่า iWatch จะมีสามขนาด คือ หน้าจอ 1.5 นิ้ว,1.4 นิ้ว และ 1.3 นิ้ว ซึ่งข่าวลือเรื่องขนาดของ iWatch ได้ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านั้นไปครั้งนึงแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013

 
 
14  กรกฎาคม 2013

มีแหล่งข่าวทางด้านการเงิน ปล่อยข่าวออกมาว่า Apple กำลังเพิ่มทีมงานผลิต iWatch เพราะถือว่าเป็นงานใหญ่ ที่ต้องใช้จำนวนคนมาก ดังนั้นอาจจะทำให้ iWatch เปิดตัวล่าช้าไปถึงปีหน้า (2014)

 
 
2 กรกฎาคม 2013

ภายใต้แบรนด์ iWatch  Apple ได้เดินทางไปจดทะเบียนการค้าอยู่หลายประเทศ เช่น แมกซิโก ไต้หวัน โคลัมเบีย และตุรกี และเริ่มจดเมื่อวันที่  3 มิถุนายน

 
 
30 มิถุนายน 2013

Apple ได้เดินทางไปจดสิทธิบัตร iWatch ที่ญี่ปุ่น และอาจจะประกาศเปิดตัวสิ้นเดือนมิถุนายน 2013

 
 
7 มิถุนายน 2013

ได้มีข่าวปล่อยออกมาว่า Apple จะเปิดตัว iWatch ในช่วงครึ่งหลังของปี 2013 แน่นอน (ฮา)

 
 
5 มิถุนายน 2013

มีข่าวซึ่งชัวร์แล้วว่า Apple ได้ไปจดสิทธิบัตรชื่อ iWatch ที่รัสเซีย แต่ไม่มีข่าวออกมาว่า iWatch จะเปิดตัวเมื่อไหร่ Apple เพียงแต่ทำการจดสิทธิบัตรชื่อนี้ไว้ก่อนที่คนอื่นจะชิงเอาชื่อนี้ไป

 
 
20 พฤษภาคม 2013

ได้มีข่าวเรื่องขนาดหน้าจอของ iWatch ว่าตอนแรกจะมีขนาด 1.8 นิ้ว แต่ทาง Apple ก็เปลี่ยนใจ ให้เหลือแค่ 1.5 นิ้วแทน นอกจากนั้น ข่าวจากโรงงาน Foxconn ยังออกมาบอกว่าได้มีการทดลองสั่งผลิต iWatch  1,000 เครื่องเรียบร้อยแล้ว

 
 
13 เมษายน 2013

มีข่าวออกมาว่า Apple กำลังบุกตลาดประเภทอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งก็คือนาฬิกา และจะเป็น SmartWatch ที่ทำหน้าที่เหมือน SmartPhone ทุกอย่าง (ว้าววว)

iwatch7

 
 

4 มีนาคม 2013

มีข่าวค่อนข้างคอนเฟิร์มว่า iWatch จะเปิดตัวแน่นอนภายในปี 2013 เพราะทีมผลิตมีเป็นร้อยคนยังไงก็ทัน (ฮา)

 
 
21  กุมภาพันธ์ 2013

มีข้อมูลทางสิทธิบัตรที่ Apple  ไปจดไว้เมื่อเดือน สิงหาคม 2011 รายละเอียดสิทธิบัตรคือ หน้าจอโค้งของหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบ Touch Screen และสามารถทำให้หน้าจอแห้งเองได้ ถ้าหากหน้าจอไปโดนน้ำมา

iWatch

 
 
12 กุมภาพันธ์ 2013

 ได้มีรายงานว่า มีทีมผลิต SmartWatch จำนวน 100 คน และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อ James Foste ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในทีมวิศวะกรของ Apple ซึ่งแน่นอนว่า Apple กำลังทำ SmartWatch อยู่แน่ๆ

 
 

10 กุมภาพันธ์ 2013

มีข่าวหลุดออกมาเรื่อง iWatch ว่าจะมีหน้าจอโค้ง พร้อมกับ iPhone จอโค้งด้วย

 
 

27 ธันวาคม 2012

เป็นครั้งแรกที่มีข่าวลือมาว่า Apple จะทำ iOS SmartWatch เนื่องจากการสังเกตเห็นว่าในปี 2011 Apple  ได้เปิดตัว iPod Nano ซึ่งใส่เป็นนาฬิกาได้ ก็สันนิษฐานกันไป

HhiIpodNanoSporArmbndWht

 

จะเห็นได้ว่าข่าว iWatch เยอะจริงๆ ลือมาประมาณ 3 ปี แต่ก็ยังไม่ปล่อยออกมาซักที ปีนี้จะลืออีกมั้ย? และสุดท้ายจะเปิดตัวเมื่อไหร่? ก็คงดูไปเรื่อยๆเนอะ

 

Source: Cnet

 

[iOS] ทิปสร้าง “Shortcut EMOJI” เปลี่ยนจากเท็คให้เป็นไอคอน

Wassuppp! ตั้งแต่ iOS 5 จนถึง iOS ปัจจุบัน เราสามารถเพิ่มคีย์บอร์ด Emoji (ไอคอนรูปหน้ายิ้ม) และเพิ่ม Shortcut (อักษรย่อ) ให้เข้ามาอยู่ในแป้นคีย์บอร์ดได้ทั้งคู่ แต่เหมือนจะมีเส้นบางๆคั่นกรอบความคิดว่า Shortcut จะต้องเป็นเท็ค (Text) เท่านั้น โดยเฉพาะภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างถูกนำไปใช้เขียนคำย่อกันจนเพื่อนสงสัยว่า “เฮร้ย..พิมพ์เร็วไปปะ!” ส่วนคีย์บอร์ด Emoji นั้นได้รับความนิยมมาโดยตลอด ถึงแม้ต้องเสียเวลาแตะเปลี่ยนภาษาหลายครั้ง (แตะเกินประจำสินะ!) ก็ไม่เคยบ่นกัน เพราะมันน่ารักกว่าสัญลักษณ์แบบนี้ 🙂 😉 ^^ >//< นิดนึงอ่ะ

เพื่อตัดเส้นบางๆนั้นออกไป เราสามารถเขียนอักษรย่อใน Shortcut ให้แสดงเป็นไอคอน Emoji ได้ตามต้องการ ไม่ต้องเสียเวลาสลับคีย์บอร์ดอีกต่อไป แต่ก่อนอื่นจะต้องเพิ่มคีย์บอร์ด Emoji เข้ามาตั้งค่า Shortcut ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจะลบคีย์บอร์ด Emoji ก็ไม่ว่ากันค่ะ

 

สร้าง Shortcut Emoji

 

1. เพิ่มคีย์บอร์ด Emoji ที่ Settings>General>Keyboard>Keyboards>Add New Keyboard แล้วเลือก Emoji

2. กลับออกมาที่หน้า Keyboard แตะ Add New Shortcut… (บางเครื่องที่เพิ่ม Shortcut ไว้จำนวนหนึ่งแล้วจะเปลี่ยนเป็นคำว่า Shortcuts แทน ให้แตะเข้าไปเพื่อแตะปุ่ม + เพิ่ม Shortcut อีกที)

 

IMG_0318

 

3. จะพบ 2 บรรทัดคือ Phrase (ประโยคที่จะให้แสดงผล) และ Shortcut (อักษรย่อ หรือคำย่อของประโยคนั้น)

ในที่นี้เราจะพิมพ์ไอคอน Emoji ลงไปในช่อง Phrase และพิมพ์คำย่อของไอคอนนั้นลงไปในช่อง Shortcut ดังรูป เสร็จแล้วแตะ Save

IMG_0322
Shortcut รองรับทุกภาษาที่เพิ่มไว้ในคีย์บอร์ด จะพิมพ์สั้นพิมพ์ยา พิมพ์ตัวย่อภาษาอังกฤษแต่เขียนประโยคเต็มเป็นภาษาไทยก็ได้ไม่บังคับค่ะ จากตัวอย่างนี้เมื่อเราพิมพ์คำว่า “joob” ก็จะโชว์ไอคอนส่งจูบ หรือถ้าพิมพ์คำว่า “รัก” จะโชว์ไอคอนหัวใจนี่เอง

 

4. เมื่อตั้งค่า Shortcut ได้จำนวนหนึ่ง จะมีแถบ Shortcuts ขึ้นมาแทน Add New Shortcut ให้แตะเข้าไปดูประโยคที่เพิ่มเอาไว้ทั้งหมดได้เลย ถ้าต้องการเพิ่ม Shortcut อื่นๆ ให้แตะ + หรือจะลบให้แตะ Edit>Delete จากนั้นลองเปิดแอพที่ต้องการส่งข้อความขึ้นมา พิมพ์อักษรย่อที่กำหนดไว้ลงไปจะเห็นว่ามีไอคอน Emoji ขึ้นมาทันที สามารถแตะเคาะวรรคเพื่อเลือกใช้ได้เลย

 

IMG_0323

 

ก่อนจะไปเรามีคำย่อ และอักษรย่อที่นิยมใช้กันมาฝาก รับประกันความเกรียนอีกแล้วครับท่าน..oops! ถ้าใครคิดว่าคำย่อของตัวเองไม่เหมือนใคร แวะคอมเมนต์บอกกันได้นะคะ 🙂

· รป – รอแป๊บ

· ลจก – แล้วเจอกัน

· ชมห – ช่างมันเหอะ

· จิ – จิงดิเมิง

· กมร – ก็ไม่รู้สินะ

· บต – บ่องตง

· ปลน – ไปจริงละนะ

· จกม – เจอกันใหม่

· k – โอเค

· ctw – เซ็นทรัลเวิลด์

· tk – take care na

· gn – ฝันดีนะ

· xoxo – รักนะจุ๊ฟๆ

 

[Tips] เปลี่ยน icon iPhone ด้วยแอพ CoCoPPa โดยไม่ต้องง้อเจลเบรค

วันนี้จะมาแนะนำแอพพลิเคชั่นสุดฮอตจากญี่ปุ่น เป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถเปลี่ยน ไอคอน บนไอโฟน แถมยังเปลี่ยนวอลเปเปอร์ได้ด้วย มีให้เลือกหลายสไตล์ ที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเจลเบรค

icon_256

 

 

เดี๋ยวเรามาลองเปลี่ยนไอคอนบนไอโฟนกันดีกว่า เอาซักหนึ่งไอคอนมาดูกันว่าเขาเปลี่ยนกันยังไง?

ก่อนอื่นดาว์นโหลดแอพ CoCoPPa กันก่อนที่ App Store

 

 

เสร็จแล้วกดเข้าไปเลย จะเห็นว่ามีหลายไอคอนให้เราเลือก ในที่นี้ขอเลือกอันที่ฮิตๆกัน เป็นไอคอน Youtube หน้าตาสวยงามมาก กดไปที่ไอคอนที่เลือกเลย

 

cocoppa1

 

 

จะเห็นรูปไอคอนที่เราเลือกมา กด Use this icon

cocoppa2

 

 

ที่นี้จะมีข้อความถามว่า เราจะลิงค์ไอคอนที่เลือกไปที่แอพพลิเคชั่นตัวไหน เราก็เลือก Youtube

cocoppa3

 

 

ทีนี้จะขึ้นรูปไอคอนที่เราเลือก กับรูปแอพพลิเคชั่นที่เราจะลิงค์ไป กด OK

cocoppa4

จะมีข้อความตัวหนังสือแดงๆขึ้นว่า ถ้าเราลบไอคอนแอพอันดั้งเดิม ข้อมูลอาจจะหาย ฉะนั้นไม่ต้องลบค่ะ ให้มีไว้ทั้งสองไอคอน หรือจะเอาไอคอนเก่าไปซ่อนไว้ในโฟลเดอร์เพื่อจะได้ดูไม่รก

 

 

พอขึ้นรูปนี้มาก็จะมีคำสั่งให้เรา กด Add to Home Screen เพื่อให้ไอคอนนี้ไปอยู่บนหน้า Home ของไอโฟน ให้เรากดตามที่วงสีแดงไว้

cocoppa5

 

 

จะออกมาเป็นแบบนี้ ก็ให้เราเลือก Add to Home Screen อย่างที่บอกไว้

coppa6

 

 

เสร็จแล้วไอคอน Youtube ที่เราเลือกไว้มาอยู่ที่หน้า Home เรียบร้อย ลองเปิดเช็คดูได้เลยว่ามันกลายเป็นแอพ Youtube จริงมั้ย

cocoppa7

 

 

ถ้าดูแค่ภาพไม่เข้าใจ เราจัดให้ค่ะ คลิปวิธีทำไอคอนจาก CoCoPPa

[youtube link=”http://youtu.be/U6gj_lvLpbs” width=”590″ height=”315″]

[Tip] วิธีป้องกันเว็บไซต์อันตราย บน Safari

เดี๋ยวนี้มีพวกเว็บไซต์ปลอม อีเมลล์ปลอมที่ส่งลิงค์อะไรมามากมายให้เราหลงกลคลิกเข้าไป กรอก Username,Password แล้วสุดท้ายก็แฮกค์ข้อมูลเราไปอย่างง่ายๆ ใครที่เป็นคนหลอกง่าย ฟังทางนี้ สำหรับคนที่ใช้ไอโฟน ไอแพด ส่วนใหญ่ก็จะเข้าเว็บบราวเซอร์คือ Safari ทีนี้เรามาดูวิธีป้องกันเวบไซต์ปลอมต่างๆ เพื่อความปลอดภัยกับข้อมูลของเรา

 

ขั้นตอนก็ง่ายนิดเดียว แค่เราเข้าไปที่ Settings>Safari จากนั้นดูในส่วนของ Privacy & Security

เราจะเห็นบรรทัดแรก Do Not Track ก็คือเปิด ON ไว้เพื่อป้องกันเหล่าแฮกเกอร์ทั้งหลายที่จะมาทำมิดีมิร้ายในขณะที่เรากำลังท่องเว็บอยู่

 

บรรทัดที่สอง Block Cookies ก็คือเป็นการบล็อก Cookies ต่างๆในทีนี้เราเลือกที่จะบล็อก Cookies ที่มาจากแอพพลิเคชั่น third parties แล้วก็ตาม Ads โฆษณาต่างๆ

 

บรรทัดที่สาม Smart Search Field อันนี้ก็จะมีข้อความแนะนำเราเวลาที่จะ Search หาข้อมูลอะไร ก็จะแนะนำเวบไซด์ที่ปลอดภัยให้

 

บรรทัดที่สี่ อันนี้แหละที่เราจะพูดถึง Fraudulent Website Warning ให้เราเปิด ON ไว้

safari

 

 

ถ้าสมมติเราเล่น Facebook หรือ Twitter แล้วมีใครส่งลิงค์มาให้เรา ถ้าเราเปิดจากไอโฟน ลิงค์นั่นจะไปเปิดที่หน้า Safari โดยอัตโนมัติ และถ้าเราเจอเว็บไซต์อันตรายเข้า จะมีข้อความเตือนขึ้นมาเป็นแถบสีแดง ว่ามันคือเว็บไซต์อันตราย

 

iphone-os-31-antiphishing

 

ถ้ารู้กันแล้วก็เปิดกันเถอะนะคะ อย่าคิดว่าใช้ไอโฟนแล้วจะปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง  แต่ไหนๆเค้าก็มีฟังก์ชั่นนี้มาให้เราใช้กันนานแล้ว ก็จัดกันไปได้เลยค่ะ