ภาพประกอบบทความเท่านั้น
แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2556 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดีสืบเนื่องมาจากผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจหลักที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 12.1 ล้านเครื่องในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน นับเป็นประวัติการณ์สูงสุดของบริษัทตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจในกลุ่มโทรศัพท์มือถือ
ในไตรมาสที่สองของปี 2556 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เมื่อเทียบปีต่อปี หรือมีรายได้รวม 13.58 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 40.74 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 426.92 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2807.6 หมื่นล้านบาท) และมีกำไรสุทธิรวม 139.04 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.171 พันล้านบาท) ซึ่งลดลงเพียงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น อย่างมากจากไตรมาสที่ผ่านมา
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีรายได้รวม 4.91 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.473แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 2 มีกำไรจากการดำเนินงานรวม 95.37 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2. 61 พันล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่แข็งแกร่งในประเทศที่กำลังพัฒนา และผลสำเร็จจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา กำไรจากการดำเนินงานลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และ ความต้องการซื้อที่ลดลงส่งผลให้ราคาขายของผลิตภัณฑ์ต่ำลง ด้วยความต้องการซื้อที่ลดต่ำลงและการคาดการณ์ว่าการแข่งขันในตลาดทั่วโลกจะยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง แอลจีจึงวางแผนที่จะลงทุนในตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมและทีวีจอใหญ่ รวมถึงการขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ Ultra HD TV และ OLED TV ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สอง โดยทำรายได้ถึง 2.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.34 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.5 จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทส่งออกสมาร์ทโฟนกว่า 12.1 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นยอดการส่งออกประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอลจี มีกำไรจากการดำเนินงานรวมเป็น 54.37 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.631.1 พันล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบแบบปีต่อปี แต่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลงในประเทศเกาหลี, ราคาต่อเครื่องที่ลดลงจากการแข่งขันที่สูงขึ้น, รวมถึงการลงทุนด้านการตลาดที่สูงขึ้น การส่งออกโทรศัพท์มือถือรุ่นยอดนิยม อาทิ L-Series II และ F-Series จะช่วยเรื่องการเติบโตของยอดขาย ในขณะเดียวกัน ทางแอลจีคาดหวังว่า สมาร์ทโฟนรุ่น จี โปร (G Pro) และ แอลจี จีทู (LG G2) จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับบริษัทด้วยเช่นกัน
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีรายได้ประจำไตรมาสสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยยอดขายในไตรมาสที่สองถึง 2.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.52 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 จากปีที่ผ่านมา จากยอดขายที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา และการขยายสู่ตลาดใหม่ อาทิ ประเทศจีน และละตินอเมริกา มีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่สองรวม 107.84 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.235.2 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา แอลจีมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง พร้อมกับการประหยัดพลังงาน รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างต้นทุน
สำหรับกลุ่มเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นส์ด้านพลังงานมีรายได้ในไตรมาสที่สองรวม 1.55 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.65 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ร้อยละ 18.4 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ร้อยละ 42.5 มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 152.41 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.572.3 พันล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ปีที่ผ่านมา และจากไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ในขณะเดียวกัน กำไรจากการดำเนินงานก็เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 9.9 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาด้านการผสมผสานผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างทางธุรกิจ
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2556
การตรวจสอบผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองของแอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านการบัญชี) ใช้หลักเกณฑ์อ้างอิงจาก International Financial Reporting Standards (IFRS) เป็นผลประกอบการในช่วงระยะเวลา 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 โดยอัตราแลกเปลี่ยนของเงินวอนต่อดอลล่าร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาส มีอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อ 1,122 วอน