7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 สมาร์ทโฟน สุดฟรุ้งฟริ้งในอวังกาศ

 

oppo_find7_03

 

เมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง OPPO Find 7 อย่างเป็นทางการ และอลังการดาวล้านดวงมากๆ จนรู้สึกแปลกใจว่าแบรนด์ OPPO เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขนาดนี้เลยเหรอ เพราะด้วยรูปแบบการจัดงานต้องบอกว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ คือแค่พนักงานที่คอยสาธิตฟังก์ชั่นการใช้งานตามฐานต่างๆ กว่า 7 ฐาน ก็เยอะมากจะแทบจะไม่มีที่ให้แขก สื่อมวลชนได้ยืนกันแล้วล่ะครัชชชช (อันนี้แซวนะ เปรียบเทียบให้รู้ว่าเยอะมากกว่าปกติจริงๆ)

 

เอาล่ะครับสำหรับใครที่อยากจะทำความรู้จักกับ OPPO Find 7 ว่ามันน่าสนใจแค่ไหน ผมจะสรุปรวบตึง ให้เห็นกันชัดๆ กับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 ไปดูกันเลยว่ามันจะฟรุ้งฟริ้งแค่ไหน

 

1. หน้าจอ 5.5 นิ้ว 2K Quad HD

3

เริ่มจากสิ่งแรกคือหน้าจอของ Find 7 ได้พัฒนาต่อยอดจากระดับ Full HD ใน Find 5 โดยร่วมกับ JDI ผู้ผลิตจอภาพระดับโลกที่ได้พัฒนาให้มีควมคมชัด และปรับสมดุลภาพหน้าจอให้ดูสมจริง บนขนาด 5.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูงระดับ 2K Quad HD (2560 x 1440 พิกเซล) มากกว่า 4 เท่าของระบบ HD (HD = 1280×720 พิกเซล) โดยมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วถึง 538 PPI (Pixel Per Inch) เรียกว่าหน้าจอของ OPPO Find 7 ออกมาปะทะกับคู่แข่งอย่าง LG G3 แบบเต็มๆ

 

2. VOOC Rapid Charge ระบบชาร์จแบตไว 4 เท่า

1_fast charge
ถือเป็นรุ่นแรกของ OPPO ที่ได้นำนวัตกรรมการชาร์จความเร็วสูง VOOC Rapid Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 40 นาที ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จแบบปกติถึง 4 เท่า สาเหตุที่ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นก็เพราะมีการออกแบบให้อะแดปเตอร์มีขั่วต่อพิเศษถึง 7 PIN ทำให้การประจุไฟมีประสิทธิภาพและเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนและเป็นอันตราย

 

3. จัดเต็มซีพียู Quad Core 2.5 GHz แรม 3 GB

oppo_find7_01
สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดที่ OPPO Find 7 ใช้เอาชนะคู่แข่งแบนด์ดังได้หมดก็ว่าได้ ด้วยซีพียู 4 แกนสมอง (Quad Core) Qualcomm Snapdragon 801 ตัวล่าสุด ความเร็ว 2.5 GHz ระบบประมวลผลกราฟฟิก Adreno 330 พร้อมด้วยแรมขนาด 3 GB เพียงพอต่อการรันกราฟฟิกหรือใช้งานแอพหลายๆ ตัวพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล และที่สำคัญ ยังให้พื้นที่หน่วยความจำในตัวเครื่องมามากถึง 32 GB และเพิ่ม Micro SD ได้สูงสุด 128 GB

 

4. ถ่ายวิดีโอระดับ 4K ถ่ายภาพนิ่ง 50 ล้านพิกเซล

oppo_find7_02
กล้องหลังมาพร้อมเซนเซอร์รุ่นล่าสุดของ Sony Stacked CMOS IMX214 กับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างถึง f2.0 ถ่ายที่มืดได้สบายๆ นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียดสูงระดับ 4K (3840 x 2160 พิกเซล) ซึ่งละเอียดกว่า Full HD ถึง 4 เท่า เรียกว่าชัดบาดตากันไปเลย แต่ที่ลำบากกว่านั้นคงต้องซื้อทีวีไหม่ที่รองรับภาพ 4K หรือ Ultra HD เพื่อเอาไว้รับชมนั่นเอง เหอะๆ และยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion 120 เฟรม/วินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720 P

 

ส่วนของการถ่ายภาพนิ่งจะมีเทคโนโลยี Pure Image 2.0 ที่จะเลือกส่วนที่ดีที่สุดของทั้ง 10 ภาพถ่ายแล้วนำมารวมกันจนได้ภาพความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซล สามารถพิมพ์ออกมาได้ภาพขนาดใหญ่เท่า Billboard

 

5. เปิดชัตเตอร์ได้นานสุด 32 วินาที

5
OPPO Find 7 มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Slow Shutter ที่สามารถเปิดหน้ากล้องหรือชัตเตอร์ได้นานสูงสุดถึง 32 วินาที เพียงเรามีขาตั้งกล้อง แล้วเข้าสู่โหมดนี้ จากนั้นก็ตั้งเวลาถ่ายตามต้องการ จะให้เปิด 10 วิ 20 วิ หรือสูงสุด 32 วินาที เพื่อถ่ายภาพแสงไฟจากรถบนท้องถนนให้เป็นเส้นๆ หรือจะวาดเป็นภาพกราฟิกจากไฟฉาย หรือดอกไม้ไฟก็ได้

 

6. Skyline Notification แสงไฟแจ้งเตือนสุดล้ำ

5OPPO Find7
ไฟแจ้งเตือนจากแอพต่างๆ ไม่ได้กะโหลกกะลานะเลยนะครับ มีการออกแบบอย่างตั้งใจ ด้วยการใช้นวัตกรรมกำเนิดแสง LGF (Light Guide Film) เป็นครั้งแรก ด้วยจุดกำเนิดแสงที่เรียงกันบนแผง LGF ถึง 3,140 จุด เพื่อทำให้เกิดเส้นแสงสีน้ำเงินสุดล้ำตรงส่วนท้ายของตัวเครื่อง

 

7. รองรับ 4G พร้อมวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ

4_4G
แม้ 4G ยังไม่บังเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในเมืองไทย แต่ค่ายไหนที่มีให้ลองใช้ก็สามารถพร้อมรองรับได้ทันที เพื่อการชมวิดีโอความละเอียดสูงแบบออนไลน์ไม่สะดุด นอกจากนี้ในแง่ของการดีไซน์ยังได้ผลิตจากวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ ด้วยไทเทเนี่ยม-อลูมิเนี่ยมอัลลอย คงทน แข็งแรง น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี และดีกว่าแมกนีเซี่ยมอัลลอยที่นิยมใช้กันทั่วไป

 

OPPO Find 7 วางจำหน่ายแล้วในราคา 19,990 บ.

 

 

 

[Sneak Preview] สัมผัสแรกกับ LG G3 ที่สุดของสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี

 

LG-G3-01

 

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง LG G3 ในประเทศไทย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นตัวท็อปที่จะมาฟาดฟันกับคู่แข่งอย่าง Samsung Galaxy S5 และ HTC One M8 กันเลยทีเดียว แถมเปิดราคามาได้น่าสนใจพอสมควรที่ 20,990 บ. ซึ่งในงานนี้เราจะก็ได้สัมผัสตัวเป็นๆ กันแล้วส่วนจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นติดตามกันได้เลย แต่ก่อนอื่นมาดูจุดเด่นของ LG G3 กันก่อนดีกว่า

 

คุณสมบัติเด่นของ LG G3
• หน้าจอ 5.5 Quad HD IPS ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล โดยมีความหนาแน่นของพิกเซลถึง 538 พิกเซลต่อนิ้ว

• บอดี้เป็นผิวแบบเมทาลิก ออกแบบให้ขอบโค้งมนรับกับการสัมผัส

• มี Laser Auto Focus ช่วยโฟกัสเวลาถ่ายภาพในที่มืด และสามารถโฟกัสได้เร็วถึง 0.276 วินาที

• กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลมาพร้อมระบบกันสั่นที่ชิ้นเลนซ์ Advance OIS พร้อมแฟลช LED คู่

• ลำโพงสปีกเกอร์กำลังขับ 1 วัตต์ พร้อมเพิ่มเสียงเบสให้หนักแน่นขึ้น

• แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh แบบถอดเปลี่ยนได้

• Smart Keyboard ปรับขนาดแป้นคีย์บอร์ดเล็กใหญ่ได้ตามต้องการ

• Dual Windows เปิดแอพพร้อมกับได้ 2 แอพ

• Knock On เคาะหน้าจอเพื่อเปิดเครื่อง, Knock Code เคาะปลดล็อคหน้าจอตามตำแหน่งที่ตั้งไว้

• รองรับ Wireless Charging แท่นชาร์จไร้สาย

• G Content Lock ที่สามารถป้องกันการเข้าถึงไฟล์จากผู้อื่น

• LG Kill Switch ที่สามารถปิดการเชื่อมต่อแบบรีโมทเข้ามาถึงตัวเครื่อง

• รองรับการใช้งานกับสมาร์ทเคส Quick Circle

 

สัมผัสแรกกับ LG G3

ได้เวลาสัมผัส LG G3 ตัวเป็นๆ แล้วล่ะครับ เรามาชมกันทีละส่วนกันเลยดีกว่า

 

เมื่อลองถือด้วยมือเดียว ความรู้สึกแรกคือ เครื่องเบามากๆ และตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่เทอะทะมากนักแม้ว่าหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ถึง 5.5 นิ้วก็ตาม

LG-G3-02

 

วัสดุด้านหลังดีไซน์ผิวแบบเมทาลิก แต่จริงๆ ตัวบอดี้เป็นพลาสติก ตรงขอบดีไซน์ให้โค้งหยิบจับได้ถนัดดี

LG-G3-03

 

ดีไซน์ไอคอนและ User Interface ทั้งบนแถบแจ้งเตือน และไอคอนต่างๆ ของแอพในแนว Flat Design (เทรนด์นี้มาแรงจริงๆ iOS8 ก็ยังออกแบบไอคอนแนวนี้เหมือนกัน)

LG-G3-04

 

Smart Keyboard ที่สามารถตั้งค่าขนาดแป้นคีย์บอร์ดให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามขนาดที่ต้องการ

LG-G3-05 LG-G3-06

 

นอกจากนี้ยังสามารถเลือกคำที่ระบบคาดเดามาให้ได้ง่าย ด้วยการปัดขึ้น ฝังซ้ายหรือขวา ตามคำที่เลือก และยังสามารถบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ เช่นคำว่า ฟรุ้งฟริ้ง เก็บไว้ในระบบเดาคำเพิ่มเติมได้อีกด้วย

LG-G3-16

 

กล้องโฟกัสได้มากถึง 9 จุด และมีฟังก์ชั่น Touch and Shoot หรือแตะบนหน้าจอแล้วถ่ายได้เลย เท่าที่ลองเล่นก็สามารถโฟกัสในที่แสงน้อยได้ดี แต่ยังหน่วงๆ อยู่บ้างอาจจะเป็นเพราะเฟิร์มแวร์ยังไม่สมบูรณ์เพราะเป็นเครื่อง Demo

LG-G3-07

 

สำหรับกล้องหน้ามีฟังก์ชั่นเพิ่มหน้าให้ขาวอมชมพูมาด้วย โดยแม้อยู่ในที่มืดก็สามารถถ่ายหน้าให้สว่างได้ โดยจะย่อภาพในหน้าจอลงเพื่อใช้แบล็กกราวด์สีขาวสะท้อนแสงไปยังใบหน้าให้สว่างขึ้นนั่นเอง แต่ความละเอียดภาพก็ยังเท่าเดิมนะครับ

LG-G3-15

 

การใช้งาน Dual Windows หรือการเปิดแอพพร้อมกัน 2  หน้า รองรับแอพหลักๆ ได้พอสมควร รวมถึงแอพ Line ที่หากเปิดคู่กับแอพ Gallery จะสามารถลากรูปที่ต้องการลงในแอพ Line เพื่อส่งได้ทันที ส่วน Facebook, Twitter, Instagram ยังไม่รองรับในตอนนี้

LG-G3-08 LG-G3-09

 

มีแอพ LG Health ไว้นับก้าว เพื่อคำนวณอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ได้

LG-G3-10

 

ยังคงมาพร้อมฟังก์ชั่น Smart Remote ไว้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ ผ่านเซ็นเซอร์อินฟราเรดในตัวเครื่อง

LG-G3-14

 

แตะบนหน้าจอ 2 ครั้ง เพื่อเรียกฟังก์ชั่นที่รองรับกับเคส Quick Circle ขึ้นมา อินเตอร์เฟสสวยงามมากๆ

LG-G3-12

 

วิดเจ็ตนาฬิกาสวยๆ บน Quick Circle

LG-G3-11

 

ถ่ายรูปจากกล้องหลังโดยไม่ต้องเปิดฝาเคสก็ได้

LG-G3-13

 

สนนราคา 20,990 บ. 

โปรโมชั่น แถม Wireless Charger และ Quick Circle Case ฟรี มูลค่า 3,000 บ. จำนวนจำกัดเพียง 1,000 เครื่องแรกเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 27 มิถุนายน 57

สั่งจองได้ที่ AIS Online Store, dtac Online Store, Truemove H Online Store

หรือที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย J Mart, TG Fone, LG Brand Shop

 

ซัมซุงเปิดตัว “กาแลคซี่ แท็บ เอส” สุดยอดแท็บเล็ตหน้าจอซุปเปอร์ อะโมเล็ด

 

Galaxy Tab S-2

 

นิวยอร์ก, สหรัฐฯ – 12 มิถุนายน 2557 – ซัมซุงนำเสนอแท็บเล็ตระดับพรีเมียมรุ่นแรก “ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส (Samsung Galaxy Tab S)” 2 ขนาดหน้าจอ คือ 10.5 นิ้ว และ 8.4 นิ้ว โดดเด่นด้วยหน้าจอ Super AMOLED ที่ล้ำหน้าที่สุด พร้อมดีไซน์มีสไตล์ บางและเบาที่สุด ง่ายต่อการใช้งาน ผสานคอนเทนต์พิเศษระดับพรีเมี่ยมเพื่อประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับ รวมทั้งฟีเจอร์โดดเด่นมากมายเพื่อการใช้งานที่สมบูรณ์แบบที่สุด

 

มร. เจเค ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์พกพาซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ผู้บริโภคจำนวนมากใช้แท็บเล็ตในการรับชมเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นคุณภาพของหน้าจอจึงเป็นปัยจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกแท็บเล็ต ซัมซุงจึงได้ยกระดับมาตรฐานของวงการแท็บเล็ตอีกครั้งด้วยการแนะนำ ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส ที่จะมอบประสบการณ์ทั้งด้านการแสดงผลและความบันเทิงที่มีสีสันสมจริงที่สุด พร้อมกับดีไซน์บางและเบา จึงพกพาได้สะดวกยิ่งขึ้น”

 

ปิดรับทุกสีสันด้วยหน้าจอ Super AMOLED แท็บเล็ตที่มาพร้อมหน้าจอที่ดีที่สุด

ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส ปฏิวัติความละเอียดหน้าจอแท็บเล็ตด้วยหน้าจอแบบ Super AMOLED ความละเอียด WQXGA 2560 x 1600 อัตราส่วนหน้าจอ 16:10 จึงสามารถแสดงสีได้อย่างถูกต้องมากกว่าร้อยละ 90 เพื่อสีสันที่สดใส สมจริงมากยิ่งกว่าที่เคยและด้วยอัตราส่วนการแสดงแสงสีดำและสีขาว (contrast ratio)ที่สูงถึง 100,000:1 ภาพที่แสดงผลจึงมีความชัดและสมจริงด้วยสีดำที่ดำสนิทและสีขาวที่สว่างกว่าที่เคย พร้อมเทคโนโลยีด้านการแสดงผลของซัมซุงที่เหนือชั้นยิ่งกว่า อาทิ คุณสมบัติ Adaptive Display ที่ช่วยปรับปรุงการแสดงผลให้ดีที่สุดในทุกๆ สถานการณ์ด้วยการปรับค่าการแสดงแสงให้เหมาะสมกับแหล่งที่มาของภาพ (gamma) ความอิ่มสีและความคมชัดของแสงเงา ซึ่งจะประเมินผลจากแอพพลิเคชันที่ใช้งาน อุณหภูมิสี (color temperature) ที่เกิดขึ้นขณะใช้งานและสภาพแสงภายนอกขณะใช้งาน นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถปรับตั้งค่าต่างๆสำหรับการแสดงผลภาพหรือคลิปวิดีโอได้อย่างอิสระด้วยโหมดการแสดงผลภาพแบบมืออาชีพ 2 โหมดคือ AMOLED Cinema และ AMOLED Photo จึงสามารถรับชมเนื้อหาต่างๆ บนหน้าจอได้อย่างชัดเจนกว่าเดิมแม้จะอยู่กลางแจ้ง เนื่องจากมีเทคโนโลยีรองรับการแสดงผลกลางแจ้งที่ล้ำหน้า ดังนั้นเมื่อหน้าจออยู่กลางแจ้งจึงสวยงาม สมจริง และช่วยให้ผู้ใช้อ่านสิ่งต่างๆ บนหน้าจอได้ง่ายกว่าเดิม

 

เนื่องจากเทคโนโลยีหน้าจอ Super AMOLED ไม่จำเป็นต้องใช้แบ็คไลท์เป็นส่วนประกอบ จึงมีอัตราการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ที่ใช้หน้าจอแอลซีดี นอกจากนี้ยังสะดวกต่อการพกพา ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส ทั้ง 2 ขนาด มีความหนาเพียง 6.6 มิลลิเมตรและมีน้ำหนักที่เบามาก คือ 465 กรัม (สำหรับขนาด 10.5 นิ้ว) และ 294 กรัม (สำหรับขนาด 8.4 นิ้ว)* ทำให้ผู้ใช้งานสามารถพกพาได้โดยสะดวก ด้วยแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานนานและโหมดยืดพลังแบต (Ultra Power Saving Mode) จึงสามารถเพลิดเพลินกับความบันเทิงได้ยาวนานหลายชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมด

 

รูปลักษณ์มีสไตล์ พร้อมอุปกรณ์เสริมเพื่อการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ
ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส เป็นแท็บเล็ตที่เพรียวบางและทันสมัยด้วยงานออกแบบที่งดงาม เพื่ออิสระที่มากขึ้น มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่สวยงามและตอบรับกับทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Book cover ที่สามารถ พับเพื่อตั้งตัวแท็บเล็ตได้ 3 รูปแบบ เพื่อองศาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชมภาพยนตร์ อ่านข้อมูล หรือการพิมพ์ นอกเหนือจากนี้ ซัมซุงยังมี Simple cover ที่มีขนาดบางและน้ำหนักเบากว่า แต่สามารถปกป้องแท็บเล็ตได้ดีเท่ากับ Book cover และเพื่อการปกป้องตัวแท็บเล็ตพร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถในการพิมพ์ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ Bluetooth keyboard รุ่นพิเศษที่ออกแบบเพื่อใช้งานกับกาแลคซี่ แท็บ เอส โดยเฉพาะ

 

คุณสมบัติพิเศษด้านการทำงานที่ช่วยให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและสลับการทำงานระหว่างแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างใจ กาแลคซี่ แท็บ เอส จึงมีคุณสมบัติที่เหนือชั้นเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัยมากมาย เช่น คุณสมบัติ Call Forwarding ผ่านระบบ SideSync 3.0 จึงสามารถใช้แท็บเล็ตนี้โทรเข้า – ออก รวมทั้งโอนสายจากสมาร์ทโฟนมายังกาแลคซี่ แท็บ เอสได้ ไม่ว่าสมาร์ทโฟนจะอยู่ที่ใดก็ตาม นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดใช้งานหลายแอพพลิเคชันพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น การท่องอินเทอร์เน็ต ชมคลิปวีดิโอ แบ่งปันเนื้อหาต่างๆ หรือแม้แต่การใช้งานโทรศัพท์ โดยไม่ที่ไม่จำเป็นต้องปิดแอพพลิเคชันใดๆ คุณสมบัติ Quick Connect เพื่อการเชื่อมต่อและแบ่งปันเนื้อหากับอุปกรณ์ใกล้เคียง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน สามารถใช้คุณสมบัติเหล่านี้ได้ทั้งในรุ่นไว-ไฟและแอลทีอี คุณสมบัติอื่นๆ อาทิ โหมด Multi User โดยผู้ใช้สามารถสร้างโปรไฟล์ในการใช้งานได้ คุณสมบัติ Fingerprint Scanner เพื่อการปลดล็อกเครื่องอย่างสะดวกและรวดเร็ว และ โหมด Kids ซึ่งมีส่วนต่อประสานผู้ใช้พิเศษสำหรับเด็กและแอพพลิเคชันสำหรับเด็กโดยเฉพาะ

Galaxy Tab S 10.5

เพียบพร้อมด้วยคอนเทนต์พิเศษมากมาย
ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส สรรสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ และมีการติดตั้งคอนเทนต์พิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
• บริการนิตยสารใหม่ล่าสุดของซัมซุงชื่อ “เปเปอร์การ์เด้น – Papergarden” ซึ่งจะได้รับการติดตั้งมาพร้อมกับกาแลคซี่ แท็บ เอส เป็นรุ่นแรก บริการนิตยสารดังกล่าวนี้สรรสร้างขึ้นเพื่อการอ่านนิตยสารดิจิตอลแบบอินเตอร์แอกทีฟโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกอ่านนิตยสารชื่อดังมากมายได้บนหน้าจอที่มีสีสันสวยงามเสมือนจริง
• กาแลคซี่ กิฟท์ โดยซัมซุงร่วมมือกับผู้ให้บริการและผู้ผลิตคอนเทนต์สำหรับอุปกรณ์มือถือกว่า 30 ราย เพื่อให้ผู้ใช้งานกาแลคซี่ แท็บ เอส ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดจากบริการหรือคอนเทนต์พิเศษหลากรูปแบบ ไม่ว่าขณะอยู่บ้าน ขณะทำงาน หรือขณะพักผ่อน อาทิ
» ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธระหว่างซัมซุงกับมาร์เวล จึงสามารถอ่านหนังสือการ์ตูนของมาร์เวลกว่า 15,000 เล่มได้ฟรีเป็นเวลา 3 เดือนผ่านแอพพลิเคชัน “มาร์เวล อันลิมิเทท – Marvel Unlimited”
» คินเดิลฟอร์ซัมซุง – Kindle for Samsung รับหนังสือฟรีได้ 1 เล่ม ทุกๆ เดือนจากโครงการซัมซุง บุ๊ก ดีลส์ (Samsung Book Deals) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถอ่านหนังสือฟรีดังกล่าวได้จากจากแอพพลิเคชัน คินเดิลฟอร์ซัมซุงและสามารถเลือกซื้อหนังสืออื่นๆ ได้จากคินเดิลสโตร์

» ซัมซุงยังได้ร่วมมือกับกูเกิลเพลย์ ร้านค้าออนไลน์สำหรับสื่อดิจิตอลของกูเกิลที่มีทั้งแอพพลิเคชัน เกม เพลง ภาพยนตร์ หนังสือและนิตยสาร เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับคอนเทนต์เบื้องต้น ซัมซุงกับ กูเกิลเพลย์จึงร่วมกันมอบของขวัญพิเศษให้กับผู้ใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือคอนเทนต์ด้านความบันเทิงต่างๆอั นรวมไปถึงภาพยนตร์ระดับรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ดสเรื่อง “กราวิตี้” ของบริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์ส, หนังสือหรือนิตยสารจากสำนักพิมพ์ชั้นนำซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกอ่านได้จากวิดเจ็ท “มาย ไลบรารี่” นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถทดลองใช้งานกูเกิลเพลย์ มิวสิก ออล แอกเซส ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรับฟังเพลงกว่า 22 ล้านเพลงจากคลังเพลงของ กูเกิลได้เป็นเวลา 90 วันได้อีกด้วย

Galaxy Tab S-3
ยิ่งไปกว่านี้ ผู้ใช้งานซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอสในประเทศที่รองรับบริการรับชมภาพยนตร์จากเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) จะสามารถรับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงจากแท็บเล็ตรุ่นล่าสุดนี้ได้อีกด้วย

 

ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส จะวางจำหน่าย 2 รุ่น คือ รุ่นไว-ไฟ และรุ่นแอลทีอี ใน 2 ขนาดหน้าจอคือ 10.5 นิ้ว และ 8.4 นิ้ว โดยมีหน่วยความจำ 16 หรือ 32 กิกะไบต์ ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำด้วยการ์ดไมโครเอสดี ได้สูงสุด 128 กิกะไบต์ มี 2 สี คือไทเทเนี่ยม บรอนซ์และแดซลิ่ง ไวท์ โดย ซัมซุงกาแลคซี่ แท็บ เอส จะเริ่มวางจำหน่ายในบางท้องตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สามารถเข้าชมได้ที่ www.samsungmobilepress.com

 

* น้ำหนักของอุปกรณ์วัดจากรุ่นไว-ไฟเท่านั้น

 

เปิดตัวแล้ว Samsung Galaxy Tab S 10.5 และ Galaxy Tab S 8.4 แท็บเล็ตตระกูลสลิม

 

tabs-head

 

เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับแท็บเล็ตซีรีส์ใหม่จากซัมซุงในตระกูล Galaxy Tab S เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยงานนี้จัดขึ้นภายใต้ชื่องาน SAMSUNG GALAXY PREMIERE 2014 ณ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น มหานครนิวยอร์ค

 

สำหรับ Samsung Galaxy Tab S ตระกูลใหม่นี้ มาพร้อมหน้าจอขนาดใหม่อีกแล้ว โดยมี 2 ขนาดให้เลือกคือ 10.5 นิ้ว และ 8.4 นิ้ว ซึ่งเน้นความบางเบาระดับ Ultra Slim ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อ Tab S นั่นเอง นอกจากนี้ยังมาพร้อมหน้าจอแบบ Super AMOLED ความละเอียดระดับ WQHD (2560 x 1600 พิกเซล) ซึ่งถือว่ามีความละเอียดสูงมากบนหน้าจอแท็บเล็ต และมีความละเอียดของพิกเซลต่อตารางนิ้ว สำหรับรุ่น Galaxy Tab S 10.5 อยู่ที่ 288 ppi ส่วนรุ่น Galaxy Tab S 8.4 อยู่ที่ 359 ppi

img_gallery01w  img_gallery01

img_gallery18 img_gallery18w

 

 

สำหรับการใช้หน้าจอ Super AMOLED ที่ซัมซุงเลือกเป็นจุดเด่นมานานนั้น นอกจากจะเน้นความคอนทรานต์และให้ความอิ่มสีที่สูงแล้ว มันยังมาพร้อมความบางที่เหนือกว่า ซึ่งทำให้ Galaxy Tab s ทั้ง 2 รุ่นมีความบางเพียง 6.6 มม. (แต่แท็บเล็ต Sony Xperia Z2 ยังบางกว่า 0.2 มม. นะครับ) ส่วนน้ำหนักของรุ่น Galaxy Tab s 10.5 รุ่น WiFi หนัก 465 กรัม รุ่น LTE หนัก 467 กรัม และ Galaxy Tab s 8.4 รุ่น WiFi หนัก 294 กรัม รุ่น LTE หนัก 298 กรัม

img_gallery820 img_gallery820w

img_gallery819 img_gallery812w

 

 

ในส่วนของซีพียู ซัมซุงได้มีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกันคือ
รุ่น Wi-Fi จะมาพร้อม ซีพียูของซัมซุง Exynos 5 Octa 8 คอร์ โดยภายในจะแบ่งเป็นซีพียู 4 คอร์ 2 ตัว โดยมีความเร็ว 1.3GHz Cortex-A7 และ 1.9GHz Cortex-A15
รุ่น LTE จะมาพร้อม ซีพียูของ Qualcomm Snapdragon 800 ความเร็ว 2.3GHz quad-core Krait 400
โดยทั้ง 2 รุ่นจะให้ Ram มา 3 GB

 

ส่วนกล้องหลังทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED สามารถบันทึกวีดีโอได้ในระดับ Full HD 1080p และกล้องหน้าให้มา 2.1 ล้านพิกเซล สำหรับหน่วยความจำในตัวมีให้เลือก 2 ขนาดคือ 16 GB กับ 32 GB แต่สามารถเพิ่ม Micro SD ได้สูงสุด 128 GB, แบตเตอรี่ในรุ่นหน้าจอ 10.5 นิ้ว มีความจุ 7,900mAh (ดูวิดีโอได้ต่อเนื่อง 11 ชม.) และรุ่นหน้าจอ 8.4 นิ้ว มีความจุ 4,900mAh (ดูวิดีโอได้ต่อเนื่อง 9 ชม.)

 

คุณสมบัติเด่นของ Galaxy Tab S
-มีเซ็นเซอร์ IR (อินฟราเรด) ในตัว ไว้เป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ
-มีเซ็นเซอร์ สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home เหมือน Galaxy S5
-บอดี้ด้านหลังเป็นพลาสติกผิวสัมผัสคล้ายหนัง และขอบดีไซน์เป็นเมทัลลิคคล้าย S5
-มาพร้อมอินเทอร์เฟสล่าสุด Samsung’s Magazine UX
-รันบน Android 4.4 Kitkat
-มี 2 สีให้เลือก ขาว, ไทเทเนี่ยมบลอน
-รองรับ Multi Windows
-SideSync 3.0 เชื่อมต่อการใช้งานร่วมกันระหว่าง Tab S กับ Galaxy Smartphone เช่น แสดงผลหน้าจอมือถือบนแท็บเล็ตได้, ก็อปปี้ข้อมูล หรือใช้ Tab S รับสายจากมือถือแทนกันได้
-มีแอพและเกมให้โหลดฟรีๆ มากมาย ใน Galaxy Gifts รวมถึงแอพ Papergarden ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ไว้สำหรับดูแมกกาซีนแบบอินเตอร์แอคทีพโต้ตอบได้ ด้วยภาพที่คมชัดรองรับกับหน้าจอ SuperAMOLED โดยเฉพาะ (บางแอพรองรับในอเมริกาเท่านั้น)

galaxygifts

 

สนนราคา เริ่มที่
$399 เหรียญสหรัฐ รุ่น Galaxy Tab S 8.4 WiFi 16 GB
$499 เหรียญสหรัฐ รุ่น Galaxy Tab S 10.5 WiFi 16 GB

 

สำหรับการวางจำหน่ายในเมืองไทย ตอนนี้บนหน้าเว็บ TruemoveH ได้ขึ้นข้อมูลให้เตรียมพบกับ Galaxy Tab S เร็วๆนี้ แล้ว

AW_TMH_NON_APPLE_MICROSITE_GALAXY_S4_PROMOTION

 

Source : Samsung US

 

เตรียมพบกับการเปิดตัวของ LG G3 ในเมืองไทย กลางเดือนนี้

 

มาเร็วเกินคาดกับการเปิดตัว LG G3 สมาร์ทโฟนเรือธงจาก LG ที่หลายคนต่างรอคอย โดยงานนี้พี่น้องชาวไทย เตรียมพบกับ LG G3 ได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน นี้

 

LG-G3-invite

ทีมงาน OopsMobile ได้รับหมายเชิญงานเปิดตัว LG G3 ที่จะจัดขึ้นในวันดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ส่วนสถานที่และเวลาขออุบไว้ก่อน ไว้ต้นสัปดาห์หน้าเราจะมารายงานสดให้ชมกัน ติดตามกันได้ทาง Twitter @Oops_Mobile

 

Kairos นาฬิกาอัจฉริยะ Mechanical Smart Watch Hybrid รองรับทั้ง iOS, Android และ Windows Phone

 

watch_large_noReflection_msw_black_05

 

ไม่ลงไม่รอมันแล้วนะ iWatch ที่ลือกันอยู่นั่นแหละ… ก็ในเมื่อมีผู้ผลิตนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Kairos ที่นำระบบนาฬิกาแบบแมคานิค (แบบเข็ม) มารวมกับ Smart Watch เข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นนาฬิกาอัจฉริยะลูกผสม หรือ Hybrid ซึ่งจะออกมาให้เราได้สัมผัสจริงในอีกไม่นานนี้

 

ความสามารถของเจ้า Kairos เรือนนี้ นอกจากจะเป็นนาฬิกาแบบเข็มสุดหรูแล้ว มันยังมาพร้อมหน้าปัดแสดงผล แบบโปร่งใส่ Transparent OLED (TOLED) ซึ่งเวลามีการแจ้งเตือนต่างๆ เข้ามาก็จะแสดงผลบนหน้าจอ ให้เห็นซ้อนบนหน้าปัดนาฬิกาขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยสามารถแจ้งเตือนสายเข้า, อีเมล์, Line, Twitter, Facebook ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เปิด-ปิดเพลงบนมือถือ, แสดงข้อมูลฟิตเนส, เป็นนาฬิกาจับเวลาดิจิตอล และ มี GPS ไว้เทียบตำแหน่งเพื่อระบุเวลาได้ทั่วโลก

watch_large_noReflection_ssw_black_03 watch_large_noReflection_ssw_chrome_05

 

watch_large_noReflection_ssw_gold_01 watch_large_noReflection_msw_chrome_05

 

Kairos มาพร้อม 2 โมเดลให้เลือกระหว่าง MSW 115 ที่มาพร้อมระบบกลไกขับเคลื่อน Miyota Japanese Movement ส่วนรุ่น SSW 158 จะขับเคลื่อนด้วยกลไล SWISS Movement จาก SOPROD ที่มีชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือ โดยทั้ง 2 รุ่น เป็นตัวเรือนแบบสเแตนเลสสตีล ใช้สายหนัง และหน้าปัดเป็นคริสตัลแซฟไฟร์ที่ทนทานต่อรอยขีดข่วน

watch_large_noReflection_msw_all
MSW 115 Model

 

SSW 158
SSW 158

 

จุดเด่นอีกอย่างของ Kairos ก็คือแบตเตอรี่ที่สามารถรองรับการทำงานของระบบ Smart Watch ได้นาน 5-7 วัน (รองรับส่วนของนาฬิกาแมคานิคได้ 42 ชั่งโมง) โดยให้แบตเตอรี่มาในตัว 180 mAh ชาร์จผ่านคอนเน็คเตอร์แบบแม่เหล็กด้วยสาย USB ซึ่งเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้นานก็เพราะว่าไม่ต้องใช้หน้าจอในการแสดงผลนาฬิกาเหมือน Smart Watch รุ่นอื่นๆ ดังนั้นมันจะใช้พลังงานจากแบตฯ ก็ต่อเมื่อมีการแสดงผลบนหน้าจอจากการแจ้งเตือนต่างๆ เท่านั้น

watch_large_noReflection_msw_chrome_02

 

สำหรับหน่วยประมวลผลก็มาพร้อม Arm Cortex M4 หรือ Intel (มี 2 รุ่นให้เลือก) ส่วนระบบปฏิบัติการก็จะมี Android Wear OS กับที่เป็นออปชั่นคือใช้ระบบปฏิบัติการ Kairos OS (ใช้ได้กับ IOS, Android และ Windows Phone) พร้อมด้วยเซนเซอร์ Touch sensor, 3 axis accelerometer และ Gyroscope

 

[youtube link=”http://youtu.be/ndycU_dUHNQ” width=”590″ height=”315″]

 

ในขณะนี้ นาฬิกา Kairos กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต ซึ่งจะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ และเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้วผ่านหน้าเว็บไซต์ Kairoswatches ทั้งนี้ยังมีบริการให้อัพเกรดรุ่นใหม่ได้อีกด้วย โดยเสียค่าบริการเพียง $99 เหรียญเป็นอย่างต่ำ

 

นาฬิกา Kairos สนนราคาเริ่มต้นที่ $499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000 บาท จนถึง $1,199 ประมาณ 38,900 บาท

 

Source : gizmag

 

โฆษณา Asus Zenfone โชว์ฟังก์ชั่น Smart Remove ลบชะนีออกจากภาพ เจาะกลุ่มเก้งกวางโดยเฉพาะ

asus-zenfone-5

ขอหยิบข่าว Android มาให้อ่านกันบ้างดีกว่า หลังจาก 2-3 วันที่ผ่านมามีแต่ข่าว Apple เต็มไปหมด

 

ไม่นานมานี้ Asus Zenfone ได้เปิดตัวในเมืองไทยไปเมื่อเดือนที่แล้ว (พฤษภาคม 57) และเริ่มทยอยวางจำหน่ายในรุ่นต่างๆ ทั้ง 3 รุ่น ซึ่งได้รับความสนใจมากพอสมควร ด้วยราคาที่ถูก และดีไซน์หรูหราดูดี ฟีเจอร์ครบ และเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่ใช้ซีพียู Intel Atom อีกด้วย จึงเป็นการเรียกกระแสได้ดีพอสมควร

 

แต่อะไรก็ไม่แรงเท่ากับโฆษณาตัวนี้ ที่นำเสนอฟีเจอร์ Smart Remove ซึ่งสามารถลบ น้องชะนีออกจากภาพให้หายไปในพริบตา หลังจากที่หนุ่มตี๋แอบชอบเพื่อนซี้หนุ่มที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ว่าแล้วก็ไปชมคลิปกันเองเลยดีกว่า

 

[youtube link=”http://youtu.be/NlWVCDrKMtU” width=”590″ height=”315″]

 

เป็นไงครับ ฟังก์ชันนี้คงได้ใจชาวเก้งกวางไปแบบเต็มร้อย เชื่อว่า Asus คงทำยอดขายจากลูกค้ากลุ่มนี้ ที่มีกำลังซื้อสูงได้ไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะครับ

 

Tikko “ตอบคำถาม สะสมแต้ม แลกของ” โหลดที่ iOS และ Android

 

TikkoApp

 

เปลี่ยนรูปแแบบการทำแบบสอบถามแบบเดิมๆ ที่น่าเบื่อ และไร้ซึ่งผลที่แม่นยำ ด้วยแอพ Tikko แอพพลิเคชั่นที่จะช่วยให้การทำแบบสอบถามง่ายและสนุกขึ้นเยอะ

 

โดยผู้ใช้ iOS หรือ Android สามารถดาวน์โหลดแอพ Tikko จากนั้นก็ลงทะเบียนเพื่อตอบแบบสอบถามง่ายๆ โดยผู้ตอบจะสามารถเก็บแต้มและนำไปแลกของรางวัลต่างๆ ได้ เช่น บัตรเติมเงินมือถือ ตั๋วหนัง เป็นต้น ไม่ใช่แค่ได้ลูกอม 1 เม็ด หรือปากกา 1 แท่ง เหมือนการกรอกแบบสอบถามทั่วไป

 

และมากกว่านั้น Tikko มีกิจกรรมทุกสัปดาห์ให้ร่วมสนุก เช่น ร่วมลุ้นรับบัตร Starbucks Gift Card หรือร่วมลุ้นรับตั๋วหนังจาก Major เพียงด้วยวิธีการง่ายๆ ไม่ใช้เวลาเยอะ

 

สำหรับแอพ Tikko นั้นถือเป็นตัวกลางของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับผู้บริโภคและนำมาปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางตรงที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

 

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ลอง Download Tikko มาเล่นดูได้ตาม Link นี้เลยครับ

App Store : bit.ly/1guMoIr
Google Play : bit.ly/1k8nd9q

 

ป.ล. หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Tikko ได้ที่ www.tikkoapp.com หรือติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ www.facebook.com/tikkoapp

 

 

เปิดตัวแล้ว LG G3 เป๊ะทุกสิ่งอย่าง เข้าใจตรงกันนะ

lg-g3-13

เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ LG G3 สมาร์ทโฟนเรือธงตัวล่าสุดจาก LG ซึ่งขอบอกว่าแทบไม่มีอะไรผิดโผ่ ไปจากข่าวลือและภาพหลุดที่ออกมาก่อนหน้านี้แบบไม่แคร์สื่อ ทั้งรูปลักษณ์ดีไซน์ และสเปกที่คาดกันเอาไว้

 

LG G3 หน้าจอ 5.5 Quad HD IPS ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล โดยมีความหนาแน่นของพิกเซลถึง 538 พิกเซลต่อนิ้ว ส่วนซีพียูก็หนีไม่พ้น quad core Qualcomm Snapdragon 801 ความเร็ว 2.5 GHz แรมมีให้เลือก 2 ขนาดคือ 2 GB กับ 3 GB รวมถึงหน่วยความจำก็มีให้เลือก 16 GB กับ 32 GB

lg-g3-52

 

กล้องหน้ามาพร้อมความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล แม้จะไม่มากแต่ก็มาพร้อมรูรับแสงที่กว้าง F2.0 ถ่ายเซฟฟีได้สว่างขึ้น ส่วนกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ซึ่งผมว่าไม่ได้ Wow เท่าที่ควรในเรื่องของความละเอียด แต่ LG ก็ได้ใส่ระบบกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ที่ตัวชิ้นเลนส์ พร้อมด้วยระบบ Laser Auto Focus เพื่อช่วยโฟกัสภาพในที่มืดได้ดียิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญคือตัวเลนส์สามารถโฟกัสได้เร็วถึง 0.276 วินาที

Laserautofocus

 

 

ชมคลิปรีวิว LG G3 (จาก Android Authority)
[youtube link=”http://youtu.be/xVXZzm_bjHE” width=”590″ height=”315″]

 

สำหรับฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือการใช้งานร่วมกับ QuickCircle Case โดยรองรับการชาร์จไร้สาย Wireless Charger ส่วนเรื่องของอินเตอร์เฟสการใช้งานก็ยังมีฟังก์ชั่น KnockCode, LG Content Lock ที่สามารถป้องกันการเข้าถึงไฟล์จากผู้อื่น, LG Kill Switch ที่สามารถปิดการเชื่อมต่อแบบรีโมทเข้ามาถึงตัวเครื่อง

lg-g3-25

 

นอกจากนั้นในงานเปิดตัวยังมีภาพเผยถึงอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ LG G3 หลายตัวด้วยกัน ทั้ง ที่ชาร์จไร้สาย, หูฟังบลูทูธ , LG G Pad รวมถึง G Watch ด้วย แต่ยังไม่มีรายละเอียดอะไรออกมามากนัก

 

lg_g3_gwatch

 

ชมคลิปรีวิว LG QuickCircle Case น่าใช้เลยทีเดียว (จาก Android Authority)

[youtube link=”http://youtu.be/omLGUJUT_lQ” width=”590″ height=”315″]

 

สเปกคร่าวๆ ของ LG G3
ขนาด : 146.3 x 74.6 x 8.9 มม.
หน้าจอ : 5.5″ True HD-IPS+ ความละเอียด 1,440 x 2,560 พิกเซล, ความหน่าแน่นของพิกเซล 538ppi; กระจกกันรอยแบบ Gorilla Glass 3
ชิปเซ็ต : Snapdragon 801, quad-core Krait 400 สปีด 2.5GHz, Adreno 330, 2/3GB RAM (เลือกได้ 2 ขนาด)
ระบบปฏิบัติการ : Android 4.4.2; Optimus UI
กล้อง : 13 ล้านพิกเซล พร้อมระบบลดภาพสั่นไหว OIS , laser autofocus กล้องหน้า 2.1 ล้านพิกเซล
ถ่ายวิดีโอ : ความละเอียด 2160p
แบตเตอรี่ : 3,000mAh
หน่วยความจำ : 16GB/32GB (มีให้เลือก 2 ขนาด) ; เพิ่ม microSD ได้
การเชื่อมต่อ : รองรับ 4G Cat. 4 LTE (150Mbps down, 50Mbps up), Wi-Fi a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.0
มี 5 สี : ขาว Silk White, ทอง Shine Gold, ม่วง Moon Violet, แดง Burgundy Red และ ดำ Metallic Black

 

LG G3 จะเริ่มวางขายพรุ่งนี้ในเกาหลีใต้ก่อนเป็นที่แรก ส่วนอีก 170 ประเทศทั่วโลกจะเริ่มทยอยวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ ส่วนราคายังไม่เปิดเผยซะงั้น…

 

Source : Geeky Gadgets, gsmarena

 

LG G Watch อาจจะมาพร้อมซิมในตัว โทรออก รับสาย โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือ

 

LG-G-Watch1

 

อีกข่าวหนึ่ง ที่น่าจับตามองไม่แพ้ LG G3 ที่จะเปิดตัวในคืนนี้ตามเวลาของประเทศไทย คือ LG G Watch อุปกรณ์ Wearable Device ที่แต่ละแบรนด์ทยอยกันเปิดตัว ซึ่งคาดว่าจะเผยโฉมให้เห็นพร้อมกับ LG G3 ที่กำลังจะเปิดตัวในคืนนี้ด้วย

 

ซึ่ง LG G Watch นี้ อาจจะมาพร้อมช่องใส่ซิมการ์ด ซึ่งก็เป็นไปเป็นได้ไม่ยาก ดูอย่างของ Mlink ยังนำมาขายในเมืองไทยแล้วด้วยซ้ำ (ดูข่าวเก่า) ดังนั้นจึงทำให้ LG G Watch ไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเพื่อซิงค์ข้อมูลเหมือน Wearable Device แบรนด์อื่นๆ ที่ออกมา

 

นอกจากนี้สื่อในเกาหลีจะเคยรายงานอีกว่า LG Smartwatch จะมาพร้อมกับ USIM (Universal Subscriber Identity Module) และจะเปิดตัวพร้อมกับผู้ให้บริการมือถือ LG U+ ในเกาหลีใต้อีกด้วย

 

ฉะนั้นหากมันสามารถใส่ซิมได้จริง ก็จะทำให้ LG G Watch สามารถใช้ฟังก์ชั่น โทรออก รับสาย ส่งข้อความ หรือรับส่งอีเมล์ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องผูกการเชื่อมต่อใดๆ กับอุปกรณ์อื่นๆ

lg-g-watch2

 

สำหรับสเปกคาดว่าน่าจะมาพร้อมหน้าจอ 1.65 นิ้ว ความละเอียด 280 x 280 พิกเซล แรม 512 MB และ หน่วยความจำ 4 GB

 

ยังไงรอติดตามข่าวจากงานเปิดตัว LG G3 ในคืนนี้ ว่าจะมี LG G Watch ออกมาให้ยลโฉมพร้อมกันด้วยรึเปล่านะครับ

 

Source : geeky-gadgets