วิธีย้ายไอคอนบนเมนูบาร์ใน Mac

 

Move_Yosemite

 

เมื่อเปิดแมคคู่ใจ แถบเมนูด้านบนเป็นตัวช่วยสำคัญในการเข้าถึงหรือปรับแต่งค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, วันที่, แบตเตอรี่ ฯลฯ  ซึ่งง่ายกว่าการปรับค่าใน System Preferences 

 

แม้ไอคอนที่แสดงอยู่บนเมนูบาร์จะวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยเพียงใด แต่ถ้าเราอยากจะเรียงใหม่ตามใจฉัน มันก็ไม่ยาก แค่กดคีย์ Command ค้างไว้ แล้วคลิกลากไอคอนบนเมนูบาร์ไปวางสลับตำแหน่งได้ตามชอบใจ (***ใช้ได้กับไอคอนที่มากับ OS X เท่านั้น ส่วนไอคอนแอพอื่นๆ เช่น Dropbox ย้ายไม่ไปนะจ๊ะ)

 

Move_icon_menubar

 

มีข้อควรระวังอย่างนึง คือตอนลากไอคอนไปวาง จะต้องวางบนเมนูบาร์ถึงจะเป็นการสลับตำแหน่งไอคอน หากเผลอปล่อยบนหน้าจอ จะกลายเป็นลบไอคอนนั้นออกไปเลย  ยุ่งล่ะทีนี้! ต้องกลับไปหาคำสั่งแสดงไอคอนบนเมนูบาร์เอง เผลอลบตัวไหนก็หาใน System Preferences ก็แล้วกัน โชคดีนะทุกคน…

 

Remove_icon_menubar

 

กำจัด Baidu ออกจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Android

 

baidu000

 

หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ Baidu กันมาบ้างแล้ว แต่ก็อาจมีบางคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย คงมีคำถามว่าอะไรคือ Baidu? แล้วทำไมต้องกำจัด ลองมาทำความรู้จักกันก่อนนะคะ (สำหรับคนที่รู้จักแล้วข้ามไปอ่านหัวข้อถัดไปได้เลย ^ ^)

 

————————————————————————————————————————————–

กระแสตอบรับ Baidu จากผู้ใช้ชาวไทย

Baidu หรือ ไป่ตู้ (แค่ชื่อก็อ่านผิดเป็นไบดู!มาตลอด) เป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีนที่ให้บริการหลากหลายประเภท ทั้งการค้นหาข้อมูลแบบ Search Engine รวมถึงซอฟต์แวร์ต่างๆ ซึ่งภาพลักษณ์ของ Baidu ในสายตาผู้ใช้ชาวไทยค่อนข้างจะเป็นไปในทางลบ เนื่องจากพฤติกรรมของ Baidu ที่มักแอบแฝงโปรแกรมของตัวเอง (เช่น PC Faster, Hao123, Baidu Antivirus และอื่นๆ) มากับโปรแกรมฟรีที่ผู้ใช้ดาวน์โหลดแล้วติดตั้งพ่วงลงไปด้วยแบบไม่รู้ตัว (เช่น ดาวน์โหลด FileZilla มาติดตั้งก็ได้ Baidu แถมมาด้วย)

 

baidu002

 

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับกรณีที่มีผู้ใช้หลายรายพบปัญหาหลังจากติดตั้งบางโปรแกรมของ Baidu (อ่านเพิ่ม ทดสอบติดตั้ง Baidu) เช่น มาปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆในเครื่อง รวมถึงการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงในการใช้งานที่แจ้งว่าจะไม่รับประกันความเสี่ยงใดๆที่อาจจะเกิดขึ้นเลย 0.0 (อ่านเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรมของ Baidu)

 

baidu003

 

พอรู้ตัวว่าได้ของแถมมา เมื่อจะถอนโปรแกรมทิ้งกลับพบปัญหาอีกว่าไม่สามารถถอนการติดตั้งแบบปกติได้!! (ลงง่ายถอนยาก ตัวอย่างปัญหาการถอนโปรแกรม Baidu) ต้องไปทำสารพัดวิธีเพื่อถอนรากถอนโคน ถึงกับมีผู้เชี่ยวชาญเขียนโปรแกรม Baidu Remover และ Baidu Block ขึ้นมาเพื่อถอนการติดตั้งและบล็อค Baidu โดยเฉพาะ (อ่านเพิ่มที่ “คลิ๊กเดียว Baidu กลับบ้านเก่า”) บางรายถึงกับยอมล้างเครื่องหนีกันเลยทีเดียว

 

baidu004

 

และถึงแม้ว่าจะมีเสียงจากอีกฝ่ายหนึ่งที่แย้งว่าได้ใช้งานโปรแกรมของ Baidu อยู่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ซึ่งก็เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย เมื่อเสียงบอกเล่าถึงปัญหาที่พบเจอนั้นค่อนข้างน่ากลัวเสียจนไม่มีเหตุผลดีๆที่จะเก็บ Baidu ไว้ในเครื่อง จึงทำให้ผู้ใช้ชาวไทยจำนวนไม่น้อยพร้อมใจกันแบนโปรแกรมในตระกูล Baidu

 

หลังจากที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ Baidu ที่สร้างปัญหาในเครื่องคอมพิวเตอร์ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็เริ่มมีผู้ใช้บางคนได้พบว่า Baidu ได้ตามมาหลอกหลอนบนอุปกรณ์ Android ด้วย ซึ่งก็มีทั้งที่แถมมากับระบบปฏิบัติการเลย (ถอนออกไม่ได้) และกลุ่มผู้ใช้ที่ได้แถมมาแบบไม่รู้ตัว เช่น ติดมากับแอพสัญชาติจีนบางตัว เช่น Mi Launcher หรือผู้ใช้ไปติดตั้งแอพของ Baidu เอง เช่น Baidu Browser, PhotoWonder เป็นต้น เมื่อติดตั้งแอพที่พ่วงแถม Baidu ลงในเครื่อง ก็จะแอบมาสร้างโฟลเดอร์ baidu สำหรับเก็บไฟล์ต่างๆเอาไว้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า Baidu มีจุดประสงค์อะไรจากพฤติกรรมนี้

 

baidu005

 

แต่ด้วยชื่อเสียงของ Baidu ที่เป็นไปในทางลบ ทำให้เหล่าผู้ใช้ Android เริ่มกลัวว่าการแอบแทรกซึมเข้ามาของ Baidu จะทำให้เครื่องที่ใช้งานนั้นมีปัญหาหรือถูกล้วงความลับไปโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะใช้งานอย่างปลอดภัยและสบายใจไว้ก่อน โดยการหาวิธีที่จะกำจัด Baidu ออกไปจากเครื่องที่ใช้งาน

————————————————————————————————————————————–

 

จะรู้ได้อย่างไรว่า Baidu มาแอบอยู่

ในเครื่องหรือเปล่า?

จะรู้ได้อย่างไรนะว่ามี Baidu เข้ามาแฝงตัวอยู่ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android ของคุณแล้วหรือยัง? ถ้าเจอแจ็คพอตเข้าแล้วจะทำยังไงดี?

 

เริ่มจากเปิดแอพ ไฟล์ส่วนตัว ที่มากับเครื่อง (หรือดาวน์โหลดแอพจัดการไฟล์จาก Play Store มาติดตั้ง เช่น ES File Explorer File Manager) แล้วเข้าไปที่ ที่จัดเก็บในเครื่อง ถ้าพบโฟลเดอร์ baidu ก็แสดงว่าเจอแจ็คพอตเข้าแล้ว!!

 

Screenshot_2015-01-07-10-36-32-1

 

กำจัด Baidu ออกจากเครื่อง

หลังจากเข้าไปดูไฟล์ในเครื่อง ถ้าพบเจอโฟลเดอร์ baidu ก็ให้จัดการลบทิ้งไปได้เลย ซึ่งการกำจัดยังไม่ยุ่งยากเท่าบนพีซี โดยแตะค้างบนโฟลเดอร์เพื่อเลือก จากนั้นแตะปุ่ม ถังขยะ แล้วแตะปุ่ม ลบ 

 

baidu001

จากนั้นให้ไปถอนการติดตั้งแอพต้นเหตุออกไปจากเครื่องแบบไร้เยื่อใย ถ้าไม่รู้ว่าเป็นแอพไหน หลังจากลบโฟลเดอร์ baidu แล้ว ให้ลองเปิดใช้งานแอพต้องสงสัยดู จากนั้นไปที่ ไฟล์ส่วนตัว อีกครั้ง ถ้าพบโฟลเดอร์ baidu ที่เพิ่งลบไปแสดงว่าแอพนั้นแถม Baidu มาด้วยอย่างแน่นอน ให้ถอนการติดตั้งแอพนั้นทิ้งไปได้เลย

 

————————————————————————————————————————————–

แอพจอมแถมแบบนี้อาจมีอยู่ในเครื่องมากกว่า 1 แอพ คุณอาจจะต้องไล่ลบแอพตัวการออกให้หมดจึงจะสิ้นซาก ไม่เช่นนั้น Baidu ก็จะยังตามหลอกหลอนคุณไปเรื่อยๆ เมื่อลบโฟลเดอร์ไป Baidu ก็สร้างใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีที่สิ้นสุด 

————————————————————————————————————————————–

 

 

จะเปลี่ยนสักกี่เครื่อง S Note ก็ยังอยู่! พร้อมวิธีนำมาใช้งานใหม่อีกครั้ง

 

SNote-1

 

ซื้อเครื่องใหม่ มีบันทึกใน S Note ที่อยากเก็บไว้หรือย้ายไปที่เครื่องใหม่ด้วย อ่านเลย!!

หลายคนอาจจะเคยใช้ Galaxy Note รุ่นต่างๆมาก่อน เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Note 4 (หรือ Galaxy Note รุ่นอื่นๆ) อาจต้องการนำโน้ตที่จดบันทึกใน S Note มาใช้งานต่อใน Note 4 ด้วยก็ทำได้ ซึ่งก่อนที่จะล้างเครื่องเก่าก็ต้องซิงค์หรือเอ็กซ์พอร์ตไฟล์ S Note ไปเก็บไว้เสียก่อน แล้วค่อยดึงไปที่เครื่องใหม่ดังนี้

 

ซิงค์โน้ตกับแอคเคาท์ Samsung

ปกติตอนเปิดใช้ S Note ครั้งแรกก็จะถามว่าต้องการซิงค์กับแอคเคาท์ Samsung หรือไม่ ก็สามารถ Sign in เพื่อซิงค์ได้เลย (ถ้ายังไม่มีแอคเคาท์ต้องสมัครก่อน)

แต่ถ้าในตอนนั้นยังไม่ได้ซิงค์ก็สามารถมาตั้งค่าทีหลังได้ โดยไปที่หน้าโน้ตทั้งหมดแล้วทำดังนี้

 

1. แตะปุ่ม เมนู > การตั้งค่า (Settings)

2. แตะ แอคเคาท์ (Account)

SNote001

 

3. แตะเลือก Samsung account

4. ใส่แอคเคาท์และรหัสผ่านของแอคเคาท์ Samsung แล้วแตะ เข้าสู่ระบบ (Sign in)

5. เมื่อ Sign in ได้แล้ว ให้แตะปุ่ม Back กลับไป แล้วแตะปุ่มตั้งค่า

SNote001-1

 

6. แตะเลือก ซิงค์ S Note (Sync S Note) ซึ่งปกติจะเลือกให้อัตโนมัติและเริ่มซิงค์ให้ทันที ถ้ามี S Note ที่เคยซิงค์ไว้กับแอคเคาท์ Samsung ก็จะดึงไฟล์ S Note ที่รองรับกับเครื่องนั้นมาแสดงในรายการโน้ตทั้งหมดทันที

SNote001-3

 

เอ็กซ์พอร์ตโน้ตเก็บไว้เป็นไฟล์

หากต้องการเก็บโน้ตไว้เป็นไฟล์ เพื่อนำไปใช้งานกับเครื่องอื่นๆ ก็ทำได้อีกวิธีหนึ่ง คือเอ็กซ์พอร์ตเป็นไฟล์ไปยังแอพต่างๆที่รองรับ ดังนี้

 

1. แตะค้างบนโน้ตในหน้าแสดงโน้ตทั้งหมด แล้วแตะเลือกโน้ตที่ต้องการเอ็กซ์พอร์ตจนครบ

2. แตะปุ่มแชร์

3. แตะเลือกเอ็กซ์พอร์ตเป็นไฟล์ S Note

4. แตะเลือกแอพหรือวิธีการแชร์ที่ต้องการ ซึ่งขั้นตอนจะแตกต่างกันแล้วแต่แอพหรือวิธีที่เลือก

SNote006

SNote007

 

ก็อปปี้ไฟล์ S Note ในเครื่องไปสำรองไว้ในคอมพิวเตอร์

ให้เสียบสาย USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ จะมองเห็นอุปกรณ์เป็นไดรว์หนึ่ง ให้ดับเบิลคลิกโฟลเดอร์ Phone > SnoteData จะพบไฟล์ S Note ในอุปกรณ์ ซึ่งสามารถก็อปปี้ไฟล์ไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อสำรองไว้ได้ แต่วิธีนี้ถ้ามีการแก้ไขไฟล์ก็จะไม่ซิงค์อัตโนมัติ ต้องคอยก็อปปี้ไปเก็บเอง

 

SNote009

 

ดึงโน้ตที่เก็บไว้มาใช้งาน

เมื่อเข้าใช้ S Note และ Sign in แอคเคาท์ Samsung ก็จะดึงโน้ตที่เคยซิงค์มาให้อัตโนมัติ แต่จะไม่ดึงไฟล์ S Note ที่สร้างในเวอร์ชั่นที่ไม่รองรับ รวมถึงกรณีเอ็กพอร์ตหรือก็อปปี้ไฟล์ S Note ออกมาเก็บแยกไว้ก็ต้องนำเข้าเครื่องเอง ดังนี้

 

1. ไปที่หน้าแสดงรายการโน้ตทั้งหมด แตะปุ่ม เมนู > นำเข้า (Import)

2. เลือก Samsung account เพื่อนำเข้าโน้ตที่ซิงค์ไว้ในแอคเคาท์ Samsung
หรือเลือกนำเข้าโน้ตที่เคยเอ็กซ์พอร์ตหรือก็อปปี้แล้วนำไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่อง (ไฟล์ส่วนตัว/My Files) หรือเลือก Google Drive

SNote002

 

3. จะแจ้งเตือนเกี่ยวกับเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันของ S Note

4. แตะเลือกโน้ตที่ต้องการนำเข้า

5. แตะ เรียบร้อย (Done)

SNote003

 

6. จะเริ่มนำเข้าไฟล์ .snb ซึ่งเป็นไฟล์โน้ตของ S Note ให้รอสักครู่ (อาจใช้เวลานานถ้าไฟล์นั้นมีขนาดใหญ่ หรือเลือกหลายๆไฟล์)

7. เมื่อนำเข้าไฟล์เรียบร้อยแล้วจะแสดงโน้ตที่นำเข้ามาในหน้าแสดงโน้ตทั้งหมด

8. เมื่อเปิดใช้โน้ตที่สร้างด้วยอุปกรณ์อื่นหรือสร้างใน S Note คนละเวอร์ชั่น ก็จะแจ้งว่าต้องปรับเวอร์ชั่นไฟล์ให้เป็นเวอร์ชั่นที่เครื่องนั้นรองรับด้วย ให้แตะ ตกลง (OK)

SNote004

SNote005

 

 

รำคาญโฆษณาก่อนเข้า Youtube กันใช่ไหม มาดูวิธีปิดโฆษณาก่อนชมคลิป ไม่ให้กวนใจอีกต่อไป

 

Block-Ad-Youtube-hero
 

คือช่วงนี้บอกเลยว่าติด Youtube มากๆ ไหนจะซีรีส์ Hormones 2 ไหนจะรายการ The Voice ที่อยากดูซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ต้องมาเสียอารมณ์ทุกครั้งกับโฆษณาก่อนบ่ายดูแล้วเครียด เฮ๊ย… หมายถึงโฆษณาที่บังคับให้เราต้องดูก่อนชมคลิป แถมบางอันกว่าจะกดข้ามได้ก็รอไปเป็น 10 วิ ทำให้เสียอารมณ์ทุกครั้งไป เห็นทีจะไม่ได้การซะแล้ว อย่างนี้มันต้องสั่งปิดสถานเดียว

 
Block-Ad-Youtube-01

 
เริ่มจากเข้าไปที่ลิงค์ https://www.google.com/settings/ads แล้วดูที่ การตั้งค่าเลือกไม่รับ คลิกที่ เลือกไม่รับ ทั้ง 2 อัน เสร็จแล้วจะมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา ให้คลิก เลือกไม่รับ อีกครั้ง
Block-Ad-Youtube-02-1

 

ภาษาอังกฤษ ดูที่ Opt-out settings แล้วคลิก Opt out ทั้ง 2 อัน

Block-Ad-Youtube-04

 

หลังจากนี้ไป เราก็จะไม่ต้องเสียอารมณ์กับโฆษณาที่บังคับให้ดูก่อนชมคลิปอีกต่อไป ส่วนแบนเนอร์โฆษณา หรือโฆษณาที่แทรกระหว่างคลิป อันนี้ไม่สามารถปิดได้ ยังคงต้องทนรับชมกันต่อไป นะจะ

 

 

เลือก Wearable Device อย่างไรให้เหมาะกับคุณ

 

wearable-device-all
 

นับว่าช่วงนี้เป็นยุคของ Wearable Device หรืออุปกรณ์สวมใส่ดิจิตอลเพื่อสุขภาพ ที่มีออกมาให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ตัวไหนที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกับเรื่องกันดีกว่า

 

Wearable Device คืออะไร?

หากจะให้ความหมายโดยรวมของ Wearable Device ที่สามารถเข้าใจง่ายๆ คงหมายถึง อุปกรณ์สวมใส่เข้ากับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของนาฬิกา, แว่นตา, กำไรข้อมือ, สายรัดข้อมือ ฯลฯ โดยมันจะทำหน้าที่ตรวจวัดค่าต่างๆ ด้านสุขภาพ หรือแสดงผลข้อมูล การแจ้งเตือน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หรือไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยมันสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต หรือซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งภายในระบบคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว ที่ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล เซนเซอร์ต่างๆ และหน่วยความจำ เพื่อใช้บันทึกข้อมูล และสามารถแสดงผลบนหน้าจอได้ หรือบางรุ่นก็ไม่มีหน้าจอต้องซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนเพื่อดูข้อมูล โดย Wearable Device จะมีทั้งแบบที่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และแบบที่ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

 

Wearable Device มีกี่ประเภท?

และคำถามถัดมาที่หลายคนสงสัยคือ Wearable Device มันมีกี่ประเภท แล้วแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร เราควรเลือกใช้แบบไหนถึงจะเหมาะกับการใช้งาน ซึ่งจะขอแบ่งตามประเภทการใช้งานดังนี้เลยครับ

 

สายรัดข้อมือ Smart Band

Sony-smartwatch3-03

สำหรับ Wearable Device แบบ Smart Band หรือที่เป็นสายรัดข้อมือนั้น ส่วนใหญ่จะออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะมันจะเน้นไปที่การตรวจจับสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็น การนับจำนวนก้าวเดินหรือวิ่งในแต่ละวัน เพื่อคำนวณการเผาผลาญแคลอรี่, วัดระยะทางได้ด้วย GPS, ตรวจจับการนอนว่าเราหลับสนิทไปกี่ชั่วโมง, ตั้งปลุกโดยให้สั่นเตือนได้ หรือกระทั่งคำนวนแคลอรี่จากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยซิงค์ข้อมูลร่วมกับสมาร์ทโฟน ทั้งนี้บางรุ่นก็สามารถใช้ควบคุมการเล่นเพลงได้อีกด้วย รวมถึงยังสามารถแชร์ข้อมูลไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กันผู้ใช้ร่วมกัน ทำให้เกิดความท้าทายมากยิ่งขึ้น

 
Smart Band ยังถูกแบ่งย่อยออกไปหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่เป็นกำไร หรือสายรัดข้อมือที่ไม่มีหน้าจอ และแบบที่มีจอแสดงผลในตัว ซึ่งก็ต่างดีไซน์ออกมาให้เป็นเครื่องประดับไฮเทคไปในตัว

 
คุณสมบัติหลักๆ ที่ Smart Band ต้องมี
• ตรวจวัดจำนวนก้าวเดิน/วิ่งได้
• มี GPS วัดระยะทาง
• ตรวจจับการนอน
• คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่
• ซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานอย่างน้อย 7 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (รุ่นที่มีหน้าจออาจจะน้อยกว่า)

*หมายเหตุบางรุ่นอาจจะไม่มีคุณสมบัติบางอย่าง

 
Smart Band เหมาะกับใคร : เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักสุขภาพ เน้นใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะตรวจวัดการเผาผลาญแคลอรี่ จากกิจกรรมต่างๆ รวมถึงตรวจจับการนอนว่าเรานอนหลับไปกี่ชั่วโมง เพียงพอกับการพักผ่อนแล้วหรือยัง และที่สำคัญใครที่ไม่อยากวุ่นว่ายกับการโหลดแอพ ตั้งค่าให้มากมาย รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตทุกวัน Smart Band ก็ตอบโจทย์คุณได้แล้วครับ

 

นาฬิกาอัจฉริยะ Smart Watch

AplWatch42_34R_HomeScreen_HERO

สำหรับ Smart Watch หรือนาฬิกาอัจฉริยะ ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้สวมใส่แทนนาฬิกาข้อมือได้เลย แต่สิ่งที่เหนือกว่านาฬิกาคือมันจะมาพร้อมหน้าจอที่สามารถสัมผัสที่ควบคุมแอพพลิเคชั่นต่างๆ ภายในตัวได้ หรือบางรุ่นก็อาจจะใช้ปุ่มแทนหน้าจอสัมผัส โดยความสามารถหลักๆ ก็จะคล้ายกับ Smart band ในการตรวจวัดสุขภาพต่างๆ แต่จะเพิ่มเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจขึ้นมา เซนเซอร์วัดระดับความสูง  เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ เซนเซอร์วัดรังสียูวี และในบางรุ่นสามารถใส่ซิมเพื่อโทรออกและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในตัวได้อีกด้วย สิ่งสำคัญอีกอย่างของ Smart Watch คือระบบปฏิบัติการในตัว ที่จะใช้ขับเคลื่อน ซึ่งในปัจจุบันมีระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะอย่าง Android Wear และ Tizen (Samsung) และในต้นปี 2015 ก็จะมี Apple Watch ออกมาอีก 1 แพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน

 
คุณสมบัติหลักๆ ที่ Smart Watch ต้องมี

• ใช้สวมใส่แทนนาฬิกาข้อมือ
• ตรวจวัดจำนวนก้าวเดิน/วิ่งได้
• มี GPS วัดระยะทาง
• มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่
• ควบคุมผ่านหน้าจอระบบสัมผัส หรือปุ่มควบคุม
• คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่
• มาพร้อมเซนเซอร์ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดระดับความสูง, วัดอุณหภูมิ, วัดรังสียูวี
• บางรุ่นใส่ซิมโทรศัพท์ได้
• ซิงค์ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้
• มีแอพพลิเคชั่น และติดตั้งเพิ่มเติมได้
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานอย่างน้อย 1-2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (บางรุ่นอยู่ได้ถึง 7 วัน เพราะใช้หน้าจอแบบ E-Paper)

*หมายเหตุบางรุ่นอาจจะไม่มีคุณสมบัติบางอย่าง

 
Smart Watch เหมาะกับใคร : ผู้ที่จะใช้ Smart Watch คือผู้ที่ต้องการฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ครบครัน และต้องการติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมลงในตัวเครื่องได้ โดยใช้แทนนาฬิกาข้อมือ และต้องการความสะดวกในการเข้าถึงการแจ้งเตือนต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือบางคนที่อยากใช้แบบโทรศัพท์ได้ในตัวก็มีให้เลือกครับ

 

เสื้ออัจฉริยะ Smart Shirt

ralph-lauren-wearable-2014-08-25-01

นอกเหนือจากนาฬิกา หรือสายรัดข้อมือที่ Wearable Device สามารถพัฒนาเข้าถึงมนุษย์ได้แล้ว ยังก้าวล้ำไปถึงเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ล่าสุด Ralph Lauren Polo เตรียมที่จะผลิตเสื้อ Polo Tech shirt ที่สามารถตรวจจับ อัตราการเต้นของหัวใจ, อัตราการหายใจ รวมถึงสเต็ปการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยจะมีเซนเซอร์ติดอยู่กับเสื้อ และเส้นใย Biosensing Silver Fiber เพื่อตรวจจับ แล้วเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อส่งข้อมูลไปยังแอพบน iPhone/iPad ซึ่งสามารถถอดออกได้เมื่อถึงเวลาต้องซักเสื้อ

 

Smart Shirt เหมาะกับใคร : เหมาะกับนักกีฬา หรือผู้ที่รักสุขภาพ ที่ต้องการทราบข้อมูลประสิทธิภาพการออกกำลังกายอย่างละเอียด เพื่อใช้ในการกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

แว่นตาอัจฉริยะ Glasses


google-glass-sport
Wearable Device อีกประเภทที่เกิดขึ้นจริงแล้วคือ แว่นตาอัจฉริยะ อย่าง Google Glass ที่ผู้ส่วมใส่ สามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอเล็กๆ ใกล้ดวงตา โดยที่เราสามารถมองทะลุไปยังภาพจริงข้างหน้าได้อยู่ เหมือนสวมแว่นตาปกติ แต่มันสามารถแสดงผลข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเส้นทางที่จะเดิน สภาพการจราจร ข่าว และข้อมูลอื่นๆ ที่หาได้จากเน็ต การควบคุมจะใช้การรับคำสั่งด้วยเสียงเป็นหลัก และต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังมีกล้องที่สามารถบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมุมมองเดียวกับสายตาของเรา โดยสามารถถ่ายแล้วแชร์ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ทันที แม้ว่าตอนนี้ Google Glass จะวางจำหน่ายไปบ้างแล้วในบางประเทศ แต่ด้วยราคาที่ค่อยข้างสูงมาก จึงอาจจะยังไม่เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้มากเท่ากับ Wearable Device ประเภทอื่น

google_glass_golf_01
ภาพในมุมมองจาก Google Glass

 
Google Glasses เหมาะกับใคร : อันนี้ตอบได้ไม่ยาก เหมาะสมกับคนมีตังค์เหลือใช้ที่สุดครับ 555 เอาจริงๆ ก็คงเหมาะกับคนที่ต้องการข้อมูลแนะนำในแบบทันทีทันใด หรือจะเป็นนักกอล์ฟซึ่งกูเกิ้ลก็มีฟีเจอร์รองรับสำหรับนักกอล์ฟโดยเฉพาะอีกด้วย หรือใครที่ชอบผจญภัยก็สามารถใช้มันเก็บบันทึกภาพในเวลาที่กำลังปีนเขา หรือล่องแก่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมโลดโผนที่ไม่สามารถใช้กล้องถ่ายภาพได้ และอนาคตก็จะมีฟีเจอร์ที่รองรับการทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น

 
 

ป้องกันภาพหลุดบน iCloud ด้วยระบบล็อค 2 ชั้น ให้ Apple ID เพิ่มความปลอดภัย ด้วยการยืนยันรหัส OTP

 

หลังจากที่มีข่าวภาพหลุดของนางเองจากภาพยนตร์เรื่อง Hunger Game เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่โดนแฮกค์เกอร์มือมืด แอบล้วงข้อมูลผ่าน Apple iCloud จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก แถมล่าสุดจะมีการฟ้องร้องและเตรียมหาตัวผู้กระทำผิดให้ได้ จนทำให้ผู้ใช้ iCloud ต่างกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้งาน

 

ต้องบอกเลยว่ามันไม่มีอะไรปลอดภัยที่สุด ยิ่งรหัสผ่านที่ใช้กับ Apple ID ที่มีการตั้งไว้แต่แรกแล้วไม่เคยเปลี่ยนเลย ยิ่งมีความเสี่ยง แต่แอปเปิ้ลได้มีบริการพิเศษ 2-Step Verification ที่ให้เราสามารถตั้งรหัสผ่าน ล็อค 2 ชั้น โดยเวลาซื้อแอพหรือดาวน์โหลดอะไรที่ต้องผ่าน Apple ID ก็จะต้องใช้รหัส OTP 4 หลัก ที่ส่งมาให้ทาง SMS เพิ่มอีก 1 ขั้นตอน เหมือนการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยมากที่สุดในขณะนี้ เอาล่ะครับมาตั้งค่ากันเลยดีกว่า

 

เข้าสู่ลิงค์นี้ https://appleid.apple.com/ จากนั้นคลิกที่ จัดการ Apple ID ของคุณ

2-step-verify-01

 

กรอก Apple ID และรหัสผ่าน แล้วคลิก เข้าสู่ระบบ

2-step-verify-02

 

คลิกที่เมนู รหัสผ่านและความปลอดภัย แล้วตอบคำถามตามที่เคยตั้งคำถามเพื่อใช้ยืนยันเวลาลืมรหัสผ่านเอาไว้ จากนั้น คลิก ดำเนินการต่อ

2-step-verify-03

 

คลิก เริ่มต้นใช้งาน…

2-step-verify-04

 

 

ขั้นตอนนี้จะอธิบายการใช้งานของ การใช้งานรหัสผ่านแบบ 2 ขั้น พร้อมเงื่อนไข ให้อ่านรายละเอียดก่อนคลิก ดำเนินการต่อ

2-step-verify-05

 

จะแสดงรายละเอียดและประโยชน์ของบริการนี้ คลิก ดำเนินการต่อ

2-step-verify-06

 

 

อ่านข้อควรจำ แล้ว คลิก เริ่มต้นใช้งาน

2-step-verify-07

 

 

คราวนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งค่าจริงๆ แล้วนะครับ ให้คลิก เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์… โดยจะต้องเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่เราจะให้ส่ง SMS รหัส OTP (One Time Password) ไปให้

2-step-verify-08

 

การป้อนหมายเลขโทรศัพท์ ให้เลือกรหัสประเทศไทย (+66) ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ให้ตัด 0 ตัวหน้าออก แล้วคลิก ถัดไป

2-step-verify-09

 

ระบบจะส่งรหัสผ่าน OTP 4 หลักไปให้ตามเบอร์ที่ระบุ แล้วกรอกลงในช่อง แล้วคลิก ยืนยันอุปกรณ์

2-step-verify-10

 

เมื่อยืนยันอุปกรณ์แล้ว ให้คลิก ดำเนินการต่อ

2-step-verify-11

 

เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 จะให้เราเก็บรหัสผ่านสำหรับใช้กู้คืน เวลาเครื่องหาย โดยสามารถสั่งพริ้นเก็บไว้ในที่ปลอดภัยได้ หรือให้จดเอาไว้ แต่ห้ามจดไว้ในมือถือ หรือ Note นะครับ คลิกพิมพ์รหัส หรือ ดำเนินการต่อ กรณีไม่พิมพ์

2-step-verify-12

 

ขั้นตอนที่ 3 ให้ป้อนรหัสการกู้คืนดังกล่าว เพื่อยืนยันอีกครั้ง แล้วคลิก ยืนยัน

2-step-verify-13
iCloud-protect

 
ขั้นตอนที่ 4 จะให้คลิก ฉันเข้าใจเงื่อนไขด้านบนทั้งหมด และคลิก เปิดใช้งานการตรวจสอบยืนยันสองขั้นตอน

2-step-verify-14

 

เป็นอันเสร็จสิ้น

2-step-verify-15

 

และเวลาที่เราจะโหลดซื้อแอพ หรือคอนเทนต์ต่างๆ ก็จะต้องป้อนรหัสผ่าน OTP เพิ่มทุกครั้ง ดังนั้นหากมีใครจะพยายามแฮกค์เข้าสู่ระบบ iCloud ก็จะติดขั้นตอนนี้ ซึ่งเขาจะไม่สามารถเข้าสู่ระบบของเราได้อย่างแน่นอน เพราะรหัส OTP จะส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์ของเราเท่านั้น เอาล่ะครับทีนี้ใครที่ชอบเก็บรูปส่วนตัวไว้บน iCloud ก็คงจะอุ่นใจมากยิ่งขึ้นแล้วนะครับ แต่ที่สำคัญการเปิดใช้งานนี้ ห้ามทำรหัสการกู้คืนหายนะครับ เพราะแอปเปิ้ลไม่สามารถจะรีเซ็ตรหัสผ่านให้เราใหม่ได้ ซึ่งจำเป็นมากเวลาเครื่องหายหรือถูกขโมย เพราะเราไม่สามารถรับ SMS รหัส OTP ได้ จึงต้องใช้รหัสการกู้คืน ในการเข้าไปรีเซ็ตรหัสผ่าน โดยสามารถจัดการผ่านคอมพิวเตอร์นั่นเอง

 

 

WeChat 5.3.1 ออกฟีเจอร์ใหม่ ยกเลิกส่งข้อความล่าสุด สบายใจทั้งคนส่งและคนรับ

 

เมื่อคุณอยู่ในอารมณ์รีบๆ และเผลอส่งข้อความที่ไม่ได้ตั้งใจจะส่งออกไป วันนี้ WeChat ช่วยคุณได้! ด้วยเวอร์ชั่นใหม่ 5.3.1 ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่จะสามารถเลิกส่งข้อความที่เพิ่งส่งไปไม่เกิน 2 นาที กลับมาได้ ง่ายๆ โดยที่ผู้รับก็จะไม่เห็นข้อความนั้นอีกเช่นกัน

 

วิธียกเลิกการส่งข้อความ

เพียงแค่กดค้างบนข้อความที่ส่งออกไป และเลือก “เลิกส่ง” เพียงเท่านี้ ข้อความก็จะหายวับไปในพริบตาเหมือนไม่เคยส่งออกมาเลย

Recall_1

 

 

เลิศไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่ฟีเจอร์ใหม่เพียงฟีเจอร์เดียวที่ WeChat นำเสนอเพื่อสร้างประสบการณ์การสนทนาผ่านโลกโซเชียลอันยอดเยี่ยมให้กับคุณ วันนี้คุณสามารถพูดคุย หรือแบ่งปันประสบการณ์สนุกๆ กับเพื่อนของคุณได้หลากหลายรูปแบบ ด้วยฟีเจอร์เจ๋งๆ เหล่านี้

 

ติดแท็กชื่อผู้ติดต่อ
ติดแท็กด้วยคำสำคัญที่จะช่วยการค้นหารายชื่อผู้ติดต่อของเราให้ง่ายขึ้น เช่น “เพื่อนร่วมงาน” “ญาติสนิท” หรือ “เพื่อนสนิท” แล้วการค้นหาชื่อคนจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไปในทันที โดยเฉพาะเวลาค้นหาในการแชทแบบกลุ่ม วิธีติดแท็ก คือ เข้าเมนู ผู้ติดต่อ และเลือกชื่อผู้ติดต่อ จากนั้นกดไปที่เมนูตั้งค่าด้านบน

Add Tags_1

 

 

และกด แก้ไขข้อมูลผู้ใช้ และใส่คำที่จะติด “แท็ก” เข้าไปในช่อง หมายเหตุกำกับ

Add Tags_3

 

บันทึกข้อความสุดโปรดรวมกันในที่เดียว
บันทึกข้อความโปรดของคุณเข้าไปจัดเก็บอยู่ในที่เดียวกัน จากนี้ไปคุณก็จะหาข้อความได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเข้าไปหาแยกกันตามข้อความของแต่ละบุคคล วิธีใช้งานฟีเจอร์นี้ คือ กดค้างยาวบนข้อความที่ต้องการจะบันทึก แล้วเลือก รายการโปรด

Fav

 

เวอร์ชั่นอัพเกรดไม่ได้มีแค่ฟีเจอร์ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น WeChat 5.3.1 สำหรับ Android และ iOS ยังหน้าตาสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น โดยคุณจะสามารถสไลด์เลือกไปมาในการใช้งานฟีเจอร์สุดโปรดของคุณและใช้แท็บค้นหาข้อมูลได้ง่ายๆ และเมื่อเชื่อมต่อกับ Wi-Fi รูปของคุณจะได้รับการดาวน์โหลดอัตโนมัติทันที บอกลากันได้เลยสำหรับการกดปุ่มดาวน์โหลดรูปภาพแบบเดิมๆ

 

ยิ่งฟีเจอร์มาก ยิ่งสนุกมาก ยิ่งเจอเพื่อนสังสรรค์บนโลกโซเชียลได้มากขึ้นบน WeChat มาอัพเกรดกันได้เลยที่ WeChat 5.3.1 for Android หรือ WeChat 5.3.1 for iOS

 

 

วิธีต่อ iPhone/Android ออกจอทีวีเพื่อดู Hormones วัยว้าวุ่น 2 ย้อนหลัง

 

iphone-android-to-TV-05

 

หลังจากบทความ HORMONES วัยว้าวุ่น 2 ดูย้อนหลัง ผ่านแอพ AIS MOVIE STORE ได้ทุกเครือข่ายหรือไม่ ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับความสนใจมากๆ ต้องขอบคุณผู้อ่านที่ช่วยแชร์และติดตามเว็บไซต์ Oopsmobile ของเรา

 
ดังนั้นจากที่ได้ทิ้งท้ายเรื่องการต่อ Android กับ iPhone ไปออกจอทีวีเอาไว้ ซึ่งคราวนี้ผมจะมาทดลองของจริงให้ดูกันเลยว่ามีวิธีการต่อ iPhone และ Android ไปยังจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ได้ยังไง เพื่อให้การรับชม Hormones 2 ย้อนหลัง ได้แบบอลังการยิ่งขึ้น

 
อุปกรณ์ที่ต้องใช้

iPhone : สายอะแดปเตอร์ Lightning Digital AV Adapter หรือหัวแปลงจาก พอร์ต Lightning to HDMI (ซื้อจาก iStudio หรือ สั่ง Apple Store) ราคา 1,890 บ.
Android : สายอะแดปเตอร์ MHL (Mobile High-Definition Link) ราคาประมาณ 600-700 บาท หาซื้อได้ตามร้านมือถือทั่วไป

 

วิธีต่อ iPhone/Android ออกจอทีวี

iPhone : แค่เสียสาย Lightning Digital AV Adapter เข้ากับ iPhone 5, 5s, 5c (รุ่นที่เป็นพอร์ต Lightning) แล้วนำสาย HDMI ของจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์ที่รองรับ มาเสียบ เท่านี้ภาพบน iPhone ก็จะแสดงบนหน้าจอทันที จากนั้นก็เข้าสู่แอพ AIS Movie Store ได้เลย สำหรับใครที่ต่อกับจอมอนิเตอร์ที่ไม่มีลำโพง (จอคอม) เสียงจะออกที่ตัว iPhone แทนนะครับ แต่ถ้าต่อกับ TV เสียงก็จะออกที่ทีวีโดยอัตโนมัติ
iphone-android-to-TV-01

iphone-android-to-TV-03

 

Android : เสียบสาย MHL เข้ากับช่อง Micro USB ที่ตัวเครื่อง จากนั้นเสียบสายไฟเลี้ยงเข้ากับพอร์ต USB ของทีวีหรือจะเสียบกับอะแดปเตอร์ชาร์จมือถือก็ได้ จากนั้นก็นำสาย HDMI ของจอทีวีมาต่อ เพียงเท่านี้ภาพก็จะแสดงบนหน้าจอทีวีแล้ว จากนั้นก็เข้าสู่แอพ AIS Movie Store เพื่อเปิดดู Hormones 2 ได้เลย

iphone-android-to-TV-02
ปล. ทั้ง 2 ขั้นตอนนี้ เมื่อต่อกับ TV แล้วอย่าลืมเลือกช่องสัญญาณบนทีวีให้ถูกด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้บอก อิอิ…
สำหรับการต่อร่วมกับจอมอนิเตอร์ (จอคอม) ที่ไม่มีลำโพงในตัว จะไม่มีเสียงออกมานะครับ ไม่เหมือนกับ iPhone ที่จะตัดเสียงมาออกที่ตัวเครื่องได้ ดังนั้นจึงต้องใช้จอที่มีลำโพงในตัวด้วยนะครับ

iphone-android-to-TV-04

 

สำหรับสาย MHL สำหรับ Android จะใช้ได้เฉพาะรุ่นที่รองรับฟังก์ชั่นนี้เท่านั้นนะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรุ่นตัว Top ได้ทุกยี่ห้อ รุ่นที่ผมใช้ทดลองคือ Galaxy Note 3 ครับ ซึ่งจะรองรับการเชื่อมต่อแบบ MHL ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็สังเกตจากสเปก จะระบุว่ารองรับการเชื่อมต่อแบบ MHL นะครับ

 

หวังว่า บทความนี้จะมีประโยชน์ ช่วยให้สาวกคู่จิ้น ได้ชม Hormones 2 ย้อนหลัง แบบเต็มตา สะใจ ยิ่งขึ้น…

 

hormones-ais-04