เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 56 ที่ผ่านมา นิคอน ได้เผยโฉมกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เป็นกล้อง DSLR แบบ FullFrame รุ่น Df ที่เน้นดีไซน์ย้อนยุคเหมือนกล้องฟิล์มรุ่น F3 ในสมัยก่อน (ยุคเจน Y จะรู้จักมั้ยนะ) ทำให้หลายคนหวนย้อนนึกถึงอดีตของความคลาสิกในการถ่ายภาพกล้องฟิล์มขึ้นมาทันที แต่วันนี้มันมาอยู่ในรูปแบบของกล้องดิจิตอลซึ่งจัดเต็มคุณภาพระดับเทพอีกด้วย ส่วนจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น วันนี้เรามีัแขกรับเชิญพิเศษ… น้า Thaksa ผู้ที่ฝากผลงานการทดสอบ รีวิว และสอนเทคนิคขั้นเทพ ในการถ่ายภาพ ให้กับสาวกนิคอนไว้มากมายบนบอร์ด Pantip มาทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวให้กับ OopsMobile ในงานนี้อีกด้วย แถมท้ายน้ายังตัดต่อวิดีโอฟีเจอร์เด็ดๆ ของ Nikon DF มาให้ดูแบบเข้าใจกันง่ายๆ อีกด้วย ลองติดตามกันได้เลยครับ
เริ่มต้นกันที่ความหมายของชื่อรุ่นนี้กันก่อนเลย โดย D ย่อมาจาก D Series ซึ่งหมายถึง Design ส่วน f คือ fusion คือการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือ เป็นการนำดีไซน์ของกล้องฟิล์มรุ่น F3 มาทำเป็นกล้องดิจิตอลนั่นเอง
Nikon DF ถือเป็นกล้องนิคอนแบบฟูลเฟรมที่เล็กและเบาที่สุด ด้วยขนาดตัวกล้อง 143.5 x 110 x 66.5 มม. น้ำหนักเพียง 710 กรัม นอกจากนี้ยังมาพร้อมแป้นกลไกควบคุม ทำด้วยโลหะขนาดใหญ่ด้านบนของตัวกล้องช่วยให้การปรับตั้งค่าต่างๆ สะดวกรวดเร็ว
การปรับปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ให้อารมณ์แบบกล้องฟิล์มในสมัยก่อน คลาสิคได้ใจจริงๆ ทั้งวงแหวนปรับความไวชัตเตอร์, วงล้อปรับรูรับแสง, ปุ่มปรับ ISO และชดเชยแสง นอกจากนี้กริปจับก็เป็นหนังจับแบบที่ช่างภาพสมัยก่อนคุ้นเคยกันดี
ส่วนของช่องมองภาพ เป็นแบบ Optic มองผ่านเลนส์ได้โดยตรง ให้มุมมอง 100% โดยช่องมองจะมีแป้นเป็นวงกลม รองรับอัตราการขยายได้ 0.7x (เมื่อใส่เลนส์ 50mm) ส่วนหน้าจอ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว ความละเีอียด 921,000 จุด
มาพร้อมเซ็นเซอร์วัดแสง 2,016 pixel RGB และ Scene Recognition System และระบบโฟกัสอัตโนมัติ 39 จุด และ 7 จุด เมื่อใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุด f/8
ส่วนของอุปกรณ์เิสริมมีมาให้แบบจัดเต็ม
Nikon Df มาพร้อม เซนเซอร์ FX-format CMOS ความละเอียด 16.2 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์แบบ Full Frame (เซ็นเซอร์ขนาดเท่าฟิล์ม 35 มม.) และระบบประมวลผลภาพ EXPEED 3 เช่นเดียวกับกล้องรุ่นโปรอย่าง D4 เลยทีเดียว รองรับ ISO100 ไปจนถึง ISO12800 และยังสามารถรองรับช่วงขยายเพิ่มเติมตั้งแต่ ISO 50 ไปจนถึง ISO 204800 จะวางจำหน่ายปลายเดือน พฤศจิกายนนี้ ส่วนราคาเบื้องต้นอยู่ที่ $2,749.95 หรือประมาณ 86,000 บาท (เฉพาะบอดี้) *ราคาในเมืองไทยยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
เอาล่ะครับมาดูภาพตัวเป็นๆ ของเจ้า Nikon Df กันเลย อยู่ในมือแล้วหล่อเลยทีเดียว
เปรียบเทียบ ขนาด D4 กับ Df
เทียบ เลนส์ 50 1.8G ยุคเก่า (ซ้าย) กับ ปัจจุบัน (ขวา)
บอดี้สีเงินสุดคลาสิค สังเกตปุ่มต่างๆ และกระโหลกที่ด้านบน เรโทรได้ใจจุงเบย
กริปจับหนัง สุดคลาสิค ปุ่มต่างๆ ด้านข้างเลนส์เมาท์ เป็นโลหะทั้งหมด
ปุ่มปรับโหมดต้องดึงขั้นเพื่อก่อนถึงจะปรับได้ ส่วนปุ่มปรับค่าอื่นๆ ต้องกดลงเพื่อปลดล็อคก่อนทุกครั้ง
จอ LCD แสดงสถานะ จะมีขนาดเล็กลงจากกล้องรุ่นอื่นๆ พร้อมไฟ Back Light เป็น สีขาว ไม่ใช่สีเขียวเหมือนรุ่นก่อนๆ
ปุ่มด้านหลังยังคงเตรียมมาให้ครบครันเหมือนอย่างเคย ใครที่เป็นสาวกอยู่แล้วก็ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่มากนัก
ช่องเชื่อมต่ิอมีทั้ง USB, HDMI และ ช่องต่อรีโมทคอนโทรล มาให้ด้วย
ปุ่มวงแหวนทางด้านซ้ายไว้สำหรับปรับค่าชดเชยแสง และ ISO
ด้านขวาจะมีปุ่มปรับสปีดชัตเตอร์ ปุ่มชัตเตอร์ และปุ่มปรับโหมด P, S, A, M
ช่องใส่แบตฯ ใส่ SD Card อยู่ในช่องเดียวกัน
Specification Nikon Df
ชมคลิปวิดีโอจุดเด่นต่างๆ ของ Nikon Df
[youtube link=” http://youtu.be/Ow1AkRNN5dU” width=”590″ height=”315″]
จุดเด่น
• เป็นกล้องระดับ Full Frame ที่น้ำหนักเบาที่สุดของนิคอน
• ดีไซส์โดดเด่นในสไตล์คลาสิค
• ความละเอียด 16.2 ล้านพิกเซล เท่ากับ D4
• สามารถใช้เลนส์ตัวเก่าได้หมด
• ชุดประมวลผลภาพ Expeed 3 เท่ากับ D4
จุดด้อย
• ไม่รองรับการถ่ายวิดีโอ
• ไม่มีแฟลชในตัว
• ปุ่มวงแหวนควบคุมใช้ยาก ต้องปลดล็อคก่อนหมุนทุกครั้ง ส่วนปุ่มเปลี่ยนโหมด ก็ต้องดึงขึ้นมาถึงจะหมุนเปลี่ยนโหมดได้
• ให้สปีดชัตเตอร์มาน้อยไปนิดแค่ 1/4000
Many Thank : Thaksa