Gadgets – Thorakhong

Jawbone เปิดตัวสายรัดข้อมือฟิตเนส UP2 เล็กกว่าเดิมแต่คงประสิทธิภาพเหนือชั้นเพื่อคนรักสุขภาพ

Jawbone เปิดตัวสายรัดข้อมือ UP2™ ไปเป็นที่เรียบร้อย ดูภายนอกคล้ายกับสายรัดข้อมือ UP3™ แต่มีรูปทรงที่เล็กกว่า และคงประสิทธิภาพทำงานเหนือชั้นด้วยการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น UP® ของ Jawbone และเครื่องมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทรงพลัง ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายของตนเอง พร้อมวางจำหน่ายแล้วที่ ราคา 4,990 บาท

ดีไซน์คล่องตัว เด่นสะดุดตา

ดีไซเนอร์ อีฟ เบเฮอร์ ออกแบบ UP2™ ให้รู้สึกคล่องตัวในขณะทำกิจกรรมต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง UP2™ มีดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่ดูสวยงามโดดเด่น ด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบสีชั้นเลิศ

ภายในตัวเครื่อง UP2™ ติดตั้งมอเตอร์ที่สามารถสั่นได้ เพื่อปลุกให้คุณตื่นในเวลาที่ดีที่สุด ของวงจรการนอนของคุณ หรือแจ้งเตือนให้ขยับร่างกายเมื่อคุณอยู่นิ่งๆเป็นเวลานาน นอกจากนั้นผู้ใช้ ยังสามารถตั้งค่าการเตือนต่างๆ เพื่อให้สั่นเตือนตามที่ต้องการ เช่นเตือนให้ออกกำลังกาย เข้านอน หรือทานยา

Jawbone UP2™ เชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนผ่านระบบ Bluetooth® Smart เพื่อแสดงผลกิจกรรมของคุณแบบทันท่วงที และมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่สามารถชาร์จซ้ำได้ โดยอุปกรณ์จะสามารถทำงานยาวนานถึง 7 วัน จากการชาร์จแต่ละครั้ง อีกทั้ง ได้รับการออกแบบให้สามารถทนต่อการกระเซ็นของน้ำ เพื่อทำให้สามารถสวมใส่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Jawbone ที่จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ส่งผ่านซอฟต์แวร์ฟรีและการอัพเดตแอพพลิเคชั่น จึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ติดตามการทำกิจกรรมนี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและโดดเด่นกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ในระดับเดียวกันตลอดเวลา

เทรนเนอร์อัจฉริยะโดย Smart Coach

เมื่อแอพพลิเคชั่นติดตามผลของ Jawbone UP เชื่อมต่อกับ UP2 จะสร้างระบบอัจฉริยะ Smart Coach วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้และมอบคำแนะนำที่เหมาะสมเฉพาะตัวของผู้ใช้ พร้อมรายงานผลเพื่อกระตุ้นผู้ใช้งานประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

ด้วย Smart Coach คุณจะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ พร้อมสร้างพฤติกรรมใหม่และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้ง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะในขณะที่ Smart Coach เรียนรู้เกี่ยวกับตัวคุณ ระบบอัจฉริยะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและเพิ่มความท้าทายให้ผู้ใช้ปรับปรุงพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การนอนหลับ การควบคุมอาหาร และการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น หาก Smart Coach วิเคราะห์ว่า เมื่อคุณเข้านอนหัวค่ำ คุณจะเดินมากขึ้นในวันถัดไป มันก็จะท้าทายด้วยการส่ง “Today I Will” เข้านอนเร็ว หรือเพื่อให้คุณตั้งนาฬิกาปลุกอัจฉริยะ(Smart Alarm) เพื่อให้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ด้วยระบบ Smart Coach คุณจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรค สร้างนิสัยใหม่ๆ และเอาชนะเป้าหมายอย่างง่ายดาย

ผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานอื่นๆ จากระบบเปิดของแพลตฟอร์ม UP เพื่อสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม ด้วยการใช้งานกับอุปกรณ์ติดตามกิจกรรมของ Jawbone หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนั้น ระบบ UP ยังสามารถให้ประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับคุณ เพราะคุณจะสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ หรือแอพฯอื่นๆ เพียงแค่เลือกจาก UP app Gallery ว่าแอพฯไหน ที่มีประโยชน์กับชีวิตคุณ แม้กระทั่งการลดน้ำหนัก

วางจำหน่าย มิ.ย. 2558

สายรัดข้อมืออัจฉริยะ Jawbone UP2 มีให้เลือก 2 สี ทั้ง Black Diamond และ Light Grey Hex พร้อมวางจำหน่ายที่ Gizman, Jaymart, King Power, iStudio, Power Buy, Power Mall และ .Life ในราคาเริ่มต้นที่ 4,990 บาท

แอพพลิเคชั่น UP รองรับการใช้งาน 12 ภาษา อาทิ ภาอังกฤษ ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาดัช ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาเลียน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษาโปรตุเกส (บราซิล) ภาษารัสเซีย ภาษาจีนตัวย่อ และภาษาจีนดั้งเดิมหรือตัวเต็ม

แอพพลิเคชั่น Jawbone UP สำหรับแอนดรอยด์สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่ Google Playและสำหรับ iOS สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่ App Store

เบลกินเปิดตัวคีย์บอร์ดเคสระดับมือโปร เพิ่มคีย์ลัดไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เชื่อมต่อ iDevice พร้อมกันถึง 2 เครื่อง

เบลกินเปิดตัว Ultimate Pro Keyboard Case for iPad Air 2 (F5L176) กับเทคโนโลยีขั้นสูงที่รวบยอดทุกความต้องการของผู้ใช้งานรวมอยู่ในเคสคีย์บอร์ดไฮเอนท์นี้ วัสดุทำจากอลูมิเนียมขนาด 9.72 × 6.9 × 0.75 นิ้ว (ดีไซน์พอดีกับขนาดไอแพด) เต็มอิ่มกับปุ่มใช้งานต่างๆบนตัวเครื่อง ทั้งเลนส์กล้อง ลำโพงเสียง สปีกเกอร์โฟน และพอร์ตยูเอสบี

ประสิทธิภาพของคีย์บอร์ดยังตอบโจทย์การพิมพ์ที่รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้บริเวณแถบบนสุดและล่างสุดจะใช้สั่งการ (Short-cut)ได้ไหลลื่นขึ้น โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอแม้แต่น้อย ทั้งการเปิดปิดหน้าจอวินโดวส์ การสำเนา ถ่ายโอนข้อมูล การค้นหา หรือแม้แต่การกลับสู่หน้าจอหลัก

Ultimate Pro keyboard case เรียกได้ว่าเป็นโปรเฟสชั่นนอลเคส ที่เสนอการใช้งานหลากสไตล์ตามใจผู้ใช้งาน ได้ทั้งแนวตั้งและ แนวนนอน ตั้งแต่ 135 หรือ 360 องศา สำหรับสะดวกถือในมือเดียวเพียง 1.07 ปอนด์ หรือแยกคีย์บอร์ดออกจากเคสก็ได้เช่นกัน เพียงเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ ก็จะสามารถใช้คีย์บอร์ดไร้สายเชื่อมต่อกับดีไวซ์ถึง 2 เครื่อง ไม่ว่าจะทั้งไอแพดหรือไอโฟน พร้อมกับกิมมิคเก๋ๆ อย่างช่องไฟบริเวณพื้นแป้น ให้ทำงานได้ทุกสถานการณ์ ชาร์จไฟผ่านพอร์ต Micro USB ใช้งานนานถึง 264 ชม. แสตนด์บายได้นานถึง 4,300 ชม.รับประกันสินค้า 1 ปี

F5L176 Ultimate Pro keyboard Type มีสองสีให้เลือกใช้ สีเงินหรือสีดำ ลูกค้าที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ร้านตัวแทนจำหน่าย iStudio, iBeat, Jaymart, King Power และร้านค้าชั้นนำในราคา 5,790 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได่ที่ http://www.belkin.com/th หรือโทร 0-922-734-111 หรือ 0-2946-3387

สุดเอื้อม! กับการแตะ Back บน iOS แก้ด้วยฟิล์มกันรอยสุดไฮเทค “Halo Back” ในราคาเบาๆ $17

พยายามแก้ต่างให้ iPhone 6 และ 6S ที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้นจนทำให้การเอื้อมมือขึ้นไปแตะปุ่ม Back แต่ละทีสุดเหยียดจริงๆ แม้ Apple จะเพิ่มฟีเจอร์ Reachability (แตะ Home ติดกัน 2 ครั้ง) เพื่อลดหน้าต่างให้เหลือครึ่งจอก็ยังไม่ได้ผล รวมถึงรูปแบบการสไลด์ย้อนกลับ-ถัดไป ก็ดูจะยากเกินไปสำหรับ iPhone 6 Plus (ดูได้จากคลิปนี้)

https://www.youtube.com/watch?v=cqyx-siRYQc

Haloband Inc. จึงเกิดไอเดียออกแบบแผ่นฟิล์มกันรอย “Halo Back” ประกอบด้วย 5 เลเยอร์พร้อมปุ่ม Back บริเวณมุมล่างซ้าย ซึ่งในชั้นที่ 2 นี่เองที่เรียกว่า “Smart Layer” จะส่งสัญญาณให้ปุ่ม Back ด้านบนทำงาน ตรงตามตำแหน่งที่ตั้งไว้สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

ซึ่งแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่บน iOS จะออกแบบปุ่ม Back ให้อยู่มุมบนซ้ายตามอินเตอร์เฟสที่ iOS ออกแบบมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีปัญหากับการใช้งานแผ่นฟิล์มกันรอยแน่นอน (ภาวนาอย่าให้ Apple เปลี่ยน UI ปุ่ม Back มาอยู่ด้านล่าง หรือมุมบนขวาสินะ Oops!!)

ราคาเริ่มต้นของฟิล์มกันรอย Halo Back อยู่ที่ $14 (จองไม่ทัน!) ตอนนี้ขยับขึ้นมาที่ $17 (ประมาณ 580 บาท) คุณภาพกันรอย ลดลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี หากใครสนใจต้องรีบกันหน่อยค่ะ เหลือเวลาอีก 10 วันก่อนปิดระดมทุนในเว็บ kickstarter หลังจากนั้นจะต้องพรีออเดอร์และสั่งในราคาเต็ม โดยสินค้าจะเริ่มส่งพร้อมกันทั่วโลกสิงหาคมนี้

สรุปสเปค

• ใช้ได้กับ iPhone 6 | iPhone 6 Plus
• ใช้กระจกคุณภาพดี มีความคมชัดสูง เคลือบผิวแบบพิเศษด้วยอนุภาคนาโน ต้านน้ำมันจากผิวหนัง และง่ายต่อการดูแลรักษา
• ความสูง: 130 mm | 150mm (เรียงตามขนาด iPhone 6, 6 Plus)
• ความกว้าง: 59mm | 69mm (เรียงตามขนาด iPhone 6, 6 Plus)
• ความลึก: 0.21mm
• น้ำหนัก: 6g | 8g (เรียงตามขนาด iPhone 6, 6 Plus)

https://www.youtube.com/watch?v=wQhKL2a1_Lk

Source

“โดรน Lily” กล้องลอยฟ้า-กันน้ำได้ ใช้งานไวแค่ 3 สเต็ป

วิวัฒนาการของกล้องถ่ายรูปเริ่มอำนวยความสะดวกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากรูปด้านล่างนี้ (มีช่างภาพ-ถ่ายเอง-สั่งหุ่นยนต์ถ่าย) อะไรจะสะดวกสบายขนาดนี้! โดยเจ้าหุ่นยนต์ที่เราพูดถึงก็คือ “โดรน” หลายคนอาจเคยเห็นข่าว “ปาปารัซซี่แอบใช้โดรนถ่ายภาพซุปตาร์ฮอลลีวู้ด” มาพอสมควร แต่ครั้งนี้ Lily ขอเสนอกล้องโดรนรูปแบบใหม่ (เอาไว้แอบถ่ายตัวเองโดยเฉพาะ!) เพียงแค่พกอุปกรณ์ติดตามอันเล็กๆไว้กับตัว โดรน Lily ก็จะรู้ทันทีว่าคุณอยู่ที่ไหนด้วยระบบ GPS และตามอยู่ห่างๆ 5-100 ฟุต (หรือ 1.75-30 เมตร) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 40 กม./ชม.

สเปค

ขนาด : โดรน Lily จะมีขนาด 10.29″x10.29″x3.22″ น้ำหนัก 1.3 กก.

ขนาด : อุปกรณ์ติดตามตัว 2.37″x0.75″ น้ำหนัก 75 กรัม มาพร้อมกรอบและสายรัดข้อมือกันน้ำอีก 1 เส้น

การเชื่อมต่อ : มีปุ่มเปิดปิดเครื่อง, ช่องใส่ SD Card ความจุ 4GB และพอร์ตสำหรับชาร์จไฟแบบ 5A

แบตเตอรี่ : Lithium-Ion Battery อยู่ได้นาน 20 นาที/ครั้ง และใช้เวลาชาร์จแบตประมาณ 2 ชม./ครั้ง

กันน้ำ : ด้วยมาตรฐาน IP67 ลึกไม่เกิน 1 เมตร

กล้อง : ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, บันทึกภาพเคลื่อนไหว Full HD 1080p ที่ 60 เฟรม/วินาที และวิดีโอสโลว์โมชั่น HD 720p ที่ระดับ 120fps พร้อมทั้งระบบเชื่อมต่อผ่าน wifi ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อสั่งการและดูแบบ Live view ได้ด้วย

วิธีใช้งาน

3 สเต็ปง่ายๆในการใช้โดรน Lily คือ ใส่อุปกรณ์ติดตาม, เปิดโดรนแล้วโยนขึ้น, เคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ

ทวนอีกครั้งหนึ่ง!

1. ใส่อุปกรณ์ติดตาม

2. เปิดโดรนแล้วโยนขึ้น

3. เคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ เช่น วิ่ง, เดิน, พายเรือ, ปั่นจักรยาน, เล่นสกรี ฯลฯ หรือใครมีกิจกรรมมากกว่านี้ยิ่งใช้งานโดรนคุ้มค่าสุดๆ

เพราะตอนนี้เว็บไซต์ lily.camera กำลังเปิดให้พรีออเดอร์ในราคาพิเศษ $499 (ประมาณ 17,000 บาท) ก่อนวางขายอย่างเป็นทางการกุมภาพันธ์ 2016 ในราคาเต็ม $999 (ประมาณ 33,000 บาท) ถึงตอนนั้นเราอาจจะได้เห็นโดรนอยู่เต็มเมืองไทยตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่อย่าถึงกับใช้โดรนทุกที่.. เดี๋ยวเพื่อนที่รอเซลฟีจะน้อยใจนะ Oops!!

Source : techcrunch, lily.camera

เป็นไปได้! สหรัฐใช้มือถือตรวจเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสรู้ผลใน 15 นาที

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัย Columbia ใน New York นำทีมโดย Sam Sia วิศวกรชีวการแพทย์ ได้พัฒนาอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้เสียบเข้ากับสายแจ็คเสียงของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใดก็ได้ แล้วมันจะกลายเป็นอุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยโรคแบบพกพาได้ทันที

เธอกล่าวว่าอุปกรณ์ตรวจโรคพกพานี้สามารถตรวจหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพได้ทีเดียวสามชนิดด้วยกัน ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพตัวแรกช่วยตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี ส่วนตัวบ่งชี้ทางชีวภาพอีกสองตัวจะช่วยตรวจหาเชื้อซิฟิลิส อุปกรณ์สามารถแจ้งผลการตรวจได้ภายใน 15 นาทีและจะบันทึกผลการตรวจที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือในข้อมูลทางสุขภาพส่วนตัวของผู้ป่วยในฐานจัดเก็บข้อมูลแบบไร้สายที่เรียกว่า cloud

การจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลแบบไร้สายจะช่วยให้เเพทย์เข้าถึงข้อมูลของการวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้สะดวก การเข้ารับการบำบัดการติดเชื้อเอดส์และเชื้อซิฟิลิสอย่างทันการณ์จะช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคร้ายทั้งสองอย่างนี้ได้

ทีมนักวิจัยชี้ว่าสารเคมีที่จำเป็นในการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อจะถูกบรรจุเอาไว้ในกล่องพลาสติกที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ทีมนักวิจัยได้ทดสอบอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสแบบพกพานี้ทางคลีนิคแล้วในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ชาวระวันดาจำนวน 96 คนที่เสี่ยงต่อการส่งต่อเชื้อแก่ทารกในครรภ์

ผลการทดสอบพบว่าอุปกรณ์ตรวจเลือดแบบพกพานี้ทำงานได้ผลดีเท่ากับการตรวจเลือดที่ใช้เป็นประจำในห้องแล็ปเพื่อตรวจหาการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ

ค่าใช้จ่ายต่อชิ้นอุปกรณ์และสารเคมีอยู่ที่ประมาณ 35 ดอลล่าร์สหรัฐกับห้าสิบเซ็นต์หรือประมาณหนึ่งพันกว่าบาทไทย ซึ่งถือว่าถูกมาเมื่อเทียบกับค่าอุปกรณ์ตรวจเลือดแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันตามห้องแลป โรงพยาบาลหรือคลีนิค ซึ่งมีราคาสูงถึง 18,000 ดอลล่าร์สหรัฐหรือที่มากกว่า 570,000 บาทไทย

นอกจากนี้ การใช้งานอุปกรณ์นี้ก็ง่ายมาก ทีมนักวิจัยชี้ว่าการอบรมเจ้าหน้าที่สุขภาพชาวระวันดาให้ใช้อุปกรณ์ตวรจเอชไอวีและซิฟิลิสแบบพกพานี้กินเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น

คุณ Sia ผู้คิดค้นกล่าวว่าอุปกรณ์ตรวจเอชไอวีและซิฟิลิสแบบพกพาจะช่วยให้การตรวจเลือดด้วยสมาร์ทโฟนมีราคาถูกลงและสามารถนำไปใช้ในประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้ได้ทั่วโลก

Source

Toshiba ส่งเข้าประกวด? โมดูลกล้อง 2 – 13 MP ใน Project Ara สมาร์ทโฟนสั่งประกอบเองได้

Project Ara (โปรเจ็ค เอร่า) สมาร์ทโฟนสั่งประกอบจาก Google แต่มีพันธมิตรเข้าร่วมหลายราย เหมือนกับการซึ้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเลือกเมนบอร์ด, การ์ดจอ, ซีพียู, แรม ฯลฯ ตามสเปกที่เราต้องการ จะมีการแบ่งเป็นโมดูลๆ ให้เลือกเช่นโมดูลกล้องก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อ หรือโมดูลซีพียูก็เลือกตามความแรงได้ตามใจชอบ แม้กระทั้งเมโมรี และแบตเตอรี่ ด้วยก็ตาม

ล่าสุด Toshiba ส่งโมดูลกล้องเข้าประกวดถึง 3 ตัว ได้แก่ ความละเอียด 2MP, 5MP และ 13MP

• กล้องความละเอียด 2 ล้าน ดีไซน์แบนเป็นพิเศษสำหรับกล้องหน้าโดยเฉพาะ

• กล้องความละเอียด 5 ล้าน ความละเอียดมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนราคากลางๆ

• กล้องความละเอียด 13 ล้าน เพิ่มโหมด Bright Mode สำหรับถ่ายภาพตอนกลางคืน

ในเฟสต่อๆไป Toshiba วางแผนจะสร้างโมดูล NFC, Memory Card ฯลฯ อาจรวมถึงโมดูลแปลกๆที่ยังไม่เคยเห็นสมาร์ทโฟนรุ่นไหนก็เป็นได้

http://youtu.be/Mo4GeSil9fU

Source

สัมผัสทั้ง 5 สมาร์ทโฟนทำได้? รู้รส-กลิ่น-สัมผัสผ่านแอพและอุปกรณ์เสริม

นักวิจัยของอังกฤษพัฒนาแอพ และอุปกรณ์พิเศษซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์ด้านการรับรส กลิ่น และสัมผัส นอกเหนือจากภาพและเสียงที่มีอยู่ในปัจจุบันจากการสื่อสารระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันคนละที่ผ่านทางสมาร์ทโฟน

รส

อาจารย์ Adrian David Cheok ที่มหาวิทยาลัย City University ในกรุงลอนดอนสามารถพัฒนาขั้วไฟฟ้าที่ทำด้วยเงิน เมื่อวางไว้ใต้ลิ้นจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสรับรสและช่วยสร้างรสเปรี้ยว หวาน เค็ม และขมให้กับผู้สื่อสารได้

กลิ่น

สำหรับการรับรู้เรื่องกลิ่น นักวิจัยอาศัยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Scentee ซึ่งติดตั้งเข้ากับสมาร์ทโฟน เมื่อได้รับคำสั่งจากแอพจะพ่นละอองกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นผลไม้ หรือกลิ่นกาแฟออกมาได้ราว 100 กลิ่น

สัมผัส

การรับรู้ด้านสัมผัสนักวิจัยอาศัยอุปกรณ์รูปวงแหวนซึ่งเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วยระบบไร้สาย โดยห่วงวงแหวนนี้จะรับคำสั่งจากคู่สนทนาผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อบีบรัดนิ้วมืออย่างเบาๆ

รับรองว่าการใช้สมาร์ทโฟนของคุณจะไม่ธรรมดาอีกต่อไปผ่านอุปกรณ์และแอพเหล่านี้ สื่อสารได้ครบสัมผัสทั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส) หากสนใจมีวางขายอย่างเป็นทางการแล้วในราคา $50 หรือประมาณ 1,600 บาท

https://www.youtube.com/watch?v=FqD0yt143WM

Source

SpiderRadio เราท์เตอร์อัจฉริยะสลับใช้ Wi-Fi, LTE, 3G ได้ตามปริมาณที่ต้องการ

ศาสตราจารย์ Suba Subbalakshmi แห่ง Stevens Institute of Technology ชี้ว่าสมาร์ทโฟนสามารถสื่อสารผ่านเครือข่ายได้หลายช่องทาง เช่น Wi-Fi, LTE หรือ 3G แต่มักเลือกใช้ได้แค่เครือข่ายเดียวในแต่ละครั้ง จึงเริ่มออกแบบเราท์เตอร์ไร้สายเรียกว่า SpiderRadio เพื่อเลือกใช้สัญญาณพร้อมกันอย่างละนิดอย่างละหน่อย โดยระบบนี้จะมีคลื่นวิทยุหลายตัว ทำให้สามารถเข้าถึงสัญญาณได้ในเวลาเดียวกัน และคอยหาสัญญาณอยู่ตลอดเพื่อระบุความแรงของสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณ Wi-Fi ในพื้นที่ ตลอดจนคุณภาพของเครือข่าย LTE และเครือข่าย 3G เพื่อสลับใช้งานได้อัตโนมัติ

ขณะนี้ Spider Radio ได้รับการทดสอบแล้วโดยสำนักงาน Idaho National Laboratory และกำลังนำไปใช้งานกับสำนักงานตำรวจที่ Brookline ในรัฐ Massachusetts เช่นเดียวกับประเทศแอฟริกาใต้โดยใช้เป็นศูนย์การติดต่อสื่อสารในโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมือง Pretoria

ทีมงานผู้พัฒนา Spider Radio กล่าวว่าในที่สุด จะมีการพัฒนาระบบนี้ให้กลายเป็นโปรแกรมซอฟแวร์มือถือหรือ app ที่สามารถบรรจุเข้าไปในโทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยให้โทรศัพท์สามารถสลับการใช้งานระหว่างเครือข่ายสัญญาณต่างๆ ได้นั่นเอง

Source

Olympus Air A01 กล้องไร้สาย 16 MP และเลนส์ชั้นดีสำหรับสมาร์ทโฟน

เค้าเกิดมาเพื่อฆ่ากล้องโซนี่ตระกูล QX ชัดๆ สำหรับ Olympus Air A01 ที่กำลังจะวางขายในญี่ปุ่น 6 มีนาคมนี้ มีให้เลือก 2 สีขาวและดำ ที่สำคัญมาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 16 MP ระบบ Micro 4:3 ที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ และทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชั่นทั้ง iOS และ Android

olympus air_5 — ถ่ายภาพได้สูงสุด 320 ภาพ ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

สำหรับราคา Olympus Air A01 จะเปิดตัวที่ ¥33,800 ประมาณ 9,300 บาท และแบบครบเซ็ตมีเลนส์คิต 14-42mm F/3.5-5.6 ราคาอยู่ที่ ¥49,800 หรือประมาณ 13,800 บาท ใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงมีนาคมนี้ต้องไปลอง หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บ olympus-imaging.jp มีแคปเปญน่าสนใจให้เลือกและจัดส่งหลังวันเปิดตัว (เลือกได้ไม่เกินสีละ 2 ชิ้นเท่านั้น)

https://www.youtube.com/watch?v=t3tCXeH16oE

Source

kraftwerk พาวเวอร์แบงค์พลังแก๊ส! แบตหมดเติมด้วยน้ำมันไฟแช็คชาร์จได้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ

อุปสรรคในการชาร์จแบตพาวเวอร์แบงค์เป็นเวลาหลายชั่วโมงกำลังจะหมดไป เมื่อบริษัท eZelleron ในเยอรมัน เปิดระดมทุนสร้าง kraftwerk พาวเบอร์แบงค์ตัวแรกที่ไม่กินไฟอีกต่อไป โดยใช้เทคโนโลยี Fuel Cell แปลงแก๊สบิวเทน (หรือแก๊ส LPG) ที่เราเห็นบ่อยๆในไฟแช็คให้เป็นไฟฟ้าสำหรับชาร์จสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้นานกว่าเดิมหลายเท่า (จากการทดสอบกับ iPhone สามารถชาร์จได้ถึง 11 รอบเลยทีเดียว)

คุณสมบัติเด่น

• มีขนาดเล็กแต่ประสิทธิภาพสูง

• ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า

• ใช้งานได้ทุกที่และเติมเชื้อเพลิงได้สะดวกไม่เกิน 3 วินาที

• เติมเชื้อเพลิงครั้งเดียวใช้ได้นานกว่าพาวเวอร์แบงค์ทั่วไปหลายเท่า

kraftwerk_charging1 — โครงสร้างภายใน จะมีถังใส่แก๊ส และแปลงเป็นไฟฟ้านำไปใช้ผ่านช่อง USB

kraftwerk ได้รับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยเรียบร้อย จะเริ่มพัฒนาและปรับปรุงความเสถียรของกระแสไฟฟ้าพร้อมขายทั่วโลกในเดือนธันวาคมปีนี้ หากใครสนใจสามารถพรีออเดอร์ก่อนได้ที่ราคา $99 หรือประมาณ 3,200 บาท

Source