สิ่งที่คุณต้องจับตามองในงาน IFA 2013 คืนนี้!

IFA-Logo_abgerundet_png
งาน IFA 2013 หรืองานมหกรรมแสดงเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วคืนนี้ (4 ก.ย.) ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซึ่งทุกๆ ปีภายในงานนี้จะมีเทคโนโลยีแปลกใหม่สุดล้ำจากแบรนด์ดังต่างๆ ทั้งโลก โดยสองวันแรก 4-5 ก.ย. จะเป็นการเปิดงานให้เฉพาะรอบสื่อมวลชน ได้เข้าเยี่ยมชมงานกันก่อน และหลังจากนั้นในวันที่ 9-11 ก็จะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าเยี่ยมชมงาน ฉะนั้น Oopsmobile จะขอนำเสนอสิ่งที่น่าจับตามองว่ามีอะไรในปีนี้กันบ้าง

Samsung Galaxy Note III

AdSamsung-878
เรียกว่ามีข่าวลือออกมาอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์กับเจ้า Galaxy Note III ซึ่งทางซัมซุงก็กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 4 ก.ย. นี้ เป็นที่แน่นอนแล้ว โดยคาดเดาว่าอาจจะมาพร้อมหน้าจอที่ใหญ่กว่าเดิมจาก 5.5 นิ้ว เป็น 5.7 นิ้ว และสามารถบันทึกภาพวิดีโอความละเอียดสูงถึงระดับ 4K Ultra HD ที่ Acer ได้ชิงเปิดตัว Liquid S2 ไปเสียก่อนแล้ว

Samsung Galaxy Gear

samsunggear04
ถัดมายังมีของเล่นชิ้นใหม่จากซัมซุงที่ลือสนั่น ไม่แพ้ Note III นั่นคือ Galaxy Gear ซึ่งเป็น Smartwatch หรือนาฬิกาข้อมือสุดไฮเทคที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยจากข่าวลือล่าสุดก็มีภาพที่เค้าว่าเป็นตัวจริง และสเปกหลุดออกมาคร่าวๆ อีกด้วย ซึ่งมีหน้าจอกลายเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสไม่ได้มีความโค้งรับกับข้อมือเหมือนในภาพต้นแบบตามข่าวลือก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด มาพร้อมกล้อง 4 ล้านพิกเซล และสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ (ดูข่าวเก่า หลุดภาพจริง? SAMSUNG GEAR และสเปคคร่าวๆ)

galaxygearconcept
ภาพต้นแบบก่อนหน้านี้ของ Galaxy Gear

 

 

Sony Xperia Z1 Hamoni

xperia-z1
ในส่วนของโซนี่ ก็มีข่าวลือมาตลอดช่วงสัปดาห์ทีผ่านมาเช่นกันว่าจะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Xperia Z1 Hamoni ที่เม้าท์มอยกันว่าจะมาพร้อมกล้องระดับ 20.7 ล้านพิเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ได้เช่นกัน โดยจากภาพจริงที่โซนี่ปล่อยออกมายั่วน้ำลานนั้น จะใช้เลนส์ G ตัวใหม่ ที่มาพร้อมแฟลช LED ที่อยู่ใต้เลนส์ ส่วนหน้าจอน่าจะมาในขนาด 5 นิ้ว พร้อม CPU Snapdragon 800

Sony Cyber-shot? QX100, QX10

Sony-QX100-b
ของเล่นใหม่คู่ใจน้องดรอยด์โดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดมีสเปกและภาพ Press Shot หลุดออกมาเต็มๆ อีกเช่นกัน โดยตัวมันจะเป็นกล้องดิจิตอลที่มีแต่เลนส์ และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน NFC หรือ Wi-Fi เพื่อใช้แทนจอแสดงผล ซึ่งเท่ากับว่าเราสามารถแปลงร่างให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นกล้องดิจิตอลคอมแพกระดับเทพได้เลย โดยจะมี 2 รุ่นให้เลือกคือ Cyber-shot QX100 มาพร้อมความละเอียด 20 ล้านพิกเซล เลนส์ Carl Zeiss Vario-Sonnar T* Lens ออปติคอลซูม 3.6 เท่า ส่วน Cyber-shot QX10 มาพร้อมความละเอียด 18.2 ล้านพิกเซล เลนส์ Sony G Lens ออปติคอลซูม 10 เท่า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้คงจะเปิดตัวในวันที่ 4 ก.ย. นี้ เช่้นเดียวกัน

Sony-QX100-c

ชมคลิป
[youtube link=”http://www.youtube.com/watch?v=HKGEEPIAPys” width=”590″ height=”315″]

 

Acer Liquid S2

liquids2

เรียกว่าตีโค้งหักศอก จองพื้นที่สื่อก่อนใครมาเลยทีเีดียว ด้วยการแถลงข่าวเปิดตัว Acer Liquid S2 ก่อนหน้างาน IFA 2 วัน จนทำให้เจ้า Liquid S2 ได้ที่นั่งอันดับ 1 ของการเป็นสมาร์ทโฟนระดับ 4K ไปครอง คือเรียกว่าเผยกันทั้งรูป และสเปกกันแบบไม่มีกั๊ก แล้วในงานคืนนี้จะมีอะไรแถลงกับเค้ามั้ยเนี่ย…เอเซอร์…คร๊าบบบบ และเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีทั้งแท็บเล็ต เครื่องคอมพิวเตอร์ All in one อีกหลายรุ่น ที่แถลงข่าวไปในวันเดียวกัน ฉะนั้นสำหรับงานคืนนี้ เอเซอร์ก็คงปล่อยให้สื่อมวลชนได้สัมผัสตัวเป็นๆ กันอย่างเต็มที่ไปเลย

ASUS fonepad 7

asus-fonepad-7-teaser_620x340

มาดูที่ ASUS กันบ้าง ล่าสุดก็ได้ส่ง ASUS fonepad 7 อัพสเปกจากรุ่นก่อนให้แรงขึ้น โดยยังคงใช้ซีพียูในตระกูล Intel Atom เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างแตกต่างก็คือระบบเสียงที่ได้ใส่ลำโพงด้านหน้ามาให้เป็นคู่ ซึ่งช่วยให้เสียงกระหึ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยกล้องหลัง 5 ล้านพิกเซลจากเดิม 3.2 ล้านพิกเซล

[youtube link=”http://youtu.be/FfSE1s9OhqM” width=”590″ height=”315″]

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงไฮไลท์ที่น่าจับตามองสำหรับงาน IFA 2013 ซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นในคืนนี้ ตามเวลาในประเทศไทย โดยในเวลาประมาณเที่ยงคืนเป็นต้นไปเราจะมีรายงานสด งาน Samsung Unpacked 2013 ep.2 ที่ถ่ายทอดสดออนไลน์ให้ชมกันทั่วโลก มาร่วมเกาะติดขอบจอด้วยกันที่ Twitter @Oops_Mobile หรือชมภาพบรรยายเหตุการณ์ไปพร้อมกันที่ www.oopsmobile.net?ได้เลยครับ

[infographic] วิวัฒนาการของยุคเครือข่ายมือถือ 1G – 2G – 3G – 4G

Evolution of the G

หลังจากที่คนไทยเพิ่งจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยี 3G กันอย่างเป็นทางการ จากผู้ให้บริการเครือข่าย ทั้ง 3 เจ้าใหญ่ๆ AIS, dtac และ truemoveH ซึ่งเมืองไทยเองถือว่ายังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจาก 2G ไปยัง 3G และบางเครือข่ายก็เริ่มมีบริการ 4G ให้ทดลองใช้เฉพาะบางพื้นที่แล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าไอเจ้า 3G หรือ 4G ที่หลายคนพูดถึงกันมันดียังไง แล้วแตกต่างกันอย่างไร ผมมีภาพ infographic อธิบายง่ายๆ จาก COMMSCOPE มาให้ดูกัน โดยขอสรุปตัวเลขที่น่าสนใจออกมาดังนี้

ความเร็วของแต่ละยุค หน่วยเป็น กิโลบิตต่อวินาที (kbps)
1G : 2.4 kpps สื่อสารด้วยเสียงเท่านั้น ยังเป็นระบบอะนาลอก
2G : 64 kbps สื่อสารด้วยเสียงได้ชัดเจนขึ้น ให้สัญญาณครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และเป็นยุคแรกของการใช้มาตรฐานดิจิตอลในระบบ GSM และ CDMA
3G : 2000 kbps สื่อสารได้ทั้งเสียงและข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, มัลติมีเดีย และอินเทอร์เน็ต ถือเป็นยุคแรกของการเป็นโมบายบรอดแบนด์
4G : 100,000 kbps สื่อสารกันด้วยข้อมูลเป็นหลักหรือว่าง่ายๆ คือเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตแทนการสื่อสารด้วยเสียง ใช้โปรโตคอลมาตรฐานการสื่อสารแบบ LTE และเป็นโมบายบรอดแบนด์อย่างแท้จริง

เปรียบเทียบตามระดับความสูงแล้วจะเท่ากับ
1G = ความสูงของตั๊กแตน
2G = ความสูงของเจ้าสุนัขพันธุ์ บอร์เดอร์ คอลลี่
3G = ความสูงของตึก 5 ชั้น
4G = ความสูงของตึก Burj Khalifa ในดูไบ ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก

ในปีนี้ (2013) เราจะได้เห็นการใช้ข้อมูลสื่อสารกันบนเครือข่ายมือถือมากถึง 1 Exabyte ต่อเดือน หรือเท่ากับ 1 พันล้านกิกะไบต์ (1,000,000,000 GB) ซึ่งเทียบเท่ากับการดาวน์โหลดหนังเรื่อง Star Wars ทุกตอน ได้ถึง 130 ล้านครั้ง

คาดว่าในปี 2016 จะมีการรับส่งข้อมูลกันมากถึง 10.8 Exabyte ต่อเดือน เลยทีเดียว

อะไรที่เป็นแรงขับของการเิติบโตในการใช้ข้อมูล
แน่นอนว่าคำตอบคือ Smartphone ที่มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2013 มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับผู้ใช้ฟีเจอร์โฟนทั่วไป
คาดว่าในปี 2017 จะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนเป็น 1 ใน 2 เมื่อเทียบกับผู้ใช้ฟีเจอร์โฟนทั่วไป
และมีเปอร์เซ็นต์การดูเว็บผ่านสมาร์ทโฟนสูงขึ้นถึง 8.3% ในปี 2013

แล้วจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนมีความสุขกับการใช้งาน
19% : ประสิทธิภาพของเครือข่ายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
16% : ความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
10% : ติดต่อสื่อสารได้ระหว่างที่กำลังเดินทาง
10% : ข้อเสนอในส่วนของค่าทำเนียมหรือค่าบริการต่างๆ
10% : การบริการลูกค้า

 

สำหรับในเมืองไทยข้อมูลนี้อาจจะไม่สอดคล้องกันเท่าไรนัก เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลในต่างประเทศเท่านั้น แต่ก็สามารถมองเห็นแนวโน้มและความเป็นมาเป็นไปของระบบเครือข่ายมือถือที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าประเทศไทยก็มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากไม่ติดเรื่องปัญหาการเมืองภายในเสียก่อนนะครับ อิอิ…

1G
Source : CommScope via Phonearena

สัมภาษณ์ 3 ทีม นักพัฒนาไทย ที่ชนะเลิศจากโครงการ dtac Accelerate – Wizard of Apps

dtac-accelerate-05

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา OopsMobile ได้มีโอกาสร่วมงาน Demo Day ซึ่งเป็นงานที่รวม 10 ทีมสุดท้าย จากโครงการ dtac Accelerate ซึ่งเป็นงานประกวดผลงานโมบายแอพพลิเคชั่น ในธีม Wizard of Apps เพื่อเฟ้นหานักพัฒนาแอพที่จะได้เป็นสุดยอดทีมในการก้าวสู่ ซิลิคอนแวลลีย์ ศูนย์กลางธุรกิจไฮเทคที่รู้จักกันทั่วโลก โดยงานนี้ ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท ในการจัดโครงการนี้

โดยในรอบ 10 ทีมสุดท้าย จะให้แต่ละทีมขึ้นมานำเสนอผลงานว่ามีจุดเด่นของแอพอย่างไร มีกลยุทธ์ในการทำตลาดอย่างไร แล้วอะไรคือกุญแจความสำเร็จของแอพที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยให้เวลาทีมละ 10 นาที และทุกทีมต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการ 5 ท่าน เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ โดยช่วงท้ายคณะกรรมการจะมีเวลา 5 นาที ในการซักถามเพิ่มเติม งานนี้แต่ละทีมก็ได้สุ่มฟิตซ้อมกันมาอย่างดี และนำเสนอได้อย่างราบรื่น อาจจะมีบางทีมที่ตื่นเต้นแต่ก็ถือว่าทำกันได้ดี ลองไปดูภาพบรรยากาศของการนำเสนอกัน

dtac-accelerate-01
โฉมหน้าคณะกรรมการทั้ง 5 ท่าน

 

รายชื่อกรรมการมีดังนี้ เรียงจากขวาไปซ้าย

??Benjamin Ranck, CTO แห่ง Jetabroad บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการสำรองตั๋วเครื่องบิน และการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวในอนาคต

??Matt Walters, Principal จาก Ardent Capital? ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsNew และ Topicmarks มีความเชี่ยวชาญด้าน Rapid Scaling และการร่วมทุน

??ชวภาส องค์มหัทมงคล ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร PrimeStreet Advisory บริษัทที่ปรึกษาด้านการร่วมทุน อาจารย์พิเศษ และที่ปรึกษาให้กับองค์กรธุรกิจและการศึกษาหลายแห่ง

??Stephanie Palmeri, Principal จาก SoftTech VC ที่ลงทุนในบริษัท Startup กว่า 15,000 ล้านบาท มืิอขวาของ Jeff Clavier หนึ่งในบุคคลที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ที่มีอิทธิพลที่สุดของโลก คู่กับ Mark Zuckerberg แห่ง Facebook

??ปัญญา เวชบรรยงรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Business Support System ดีแทค

 

dtac-accelerate-03
แต่ละทีมนำเสนอได้แบบมืออาชีพ

 

dtac-accelerate-02

 

dtac-accelerate-04
ทีม Story Log กรรมการบอกเลยว่านำเสนอได้ฮามาก

ได้เวลาประกาศผล

และหลังจากที่ทุกทีมได้ผ่านการนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการจนครบหมดแล้ว มาถึงช่วงเวลาลุ้นระทึกว่าทีมใดที่จะได้ไปซิลิคอนแวลลี่ย์ และทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศ (ที่ 1) ก็ืคือ….

ทีม Fastinflow ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่จะทำให้นักการตลาด สามารถหาผลสำรวจความต้องการของลูกค้าได้ในเวลา 5 นาที

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (ที่ 2) ได้แก่ ทีม Haamor ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน จากแพทย์ชั้นนำ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (ที่3) ได้แก่ ทีม DietParty ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้คุณสนุกกับการลดน้ำหนัก ไปพร้อมกับเพื่อนๆ

เอาล่ะครับเราขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะเลิศทั้ง 3 ทีม ด้วยนะครับ ฉะนั้นทีม Fastinflow จะได้เข้าร่วมโปรแกรม Blackbox Connect ที่ซิลิคอน แวลลี่ย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเข้าคอร์สติวเข้ม เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ในการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก จากผู้บริหารและนักธุรกิจชั้นนำของซิลิคอน แวลลี่ย์ ภายใต้แนวคิด “Half-a-year Silicon Valley experience condensed in a two-week immersion progran”

ส่วนทีมที่ผ่านเ้ข้ารอบโครงการ dtac Accelerate ก็จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์จากดีแทคต่อไป เรียกว่าก็ไม่ได้ทอดทิ้งทีมที่เหลือ ซึ่งถือเป็นการดีที่ช่วยส่งเสริมให้นักพัฒนาแอพไทยได้มีโอกาสสร้า้งสรรค์ผลงานต่อยอดได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

Resize of IMG_4063

ทำความรู้จักกับแต่ละทีม

เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่เรามาทำความรู้จักกับแต่ละทีมที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ โดยเรามีคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ความรู้สึกของแต่ละทีมมาให้ดูกันด้วยครับ

Fastinflow

เป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถสำรวจความต้องการจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็วภายใน 5 นาที โดยแบ่งผู้่ใช้งานออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งแรกจะเป็นส่วนของนักการตลาดที่จะต้องตั้งคำถาม ส่วนอีกฝั่งก็จะเป็นคนทั่วไปที่ตอบคำถาม โดยผู้ที่ตอบคำถามจะได้รับคะแนน หรือมีรางวัลต่างๆ เป็นของตอบแทน ส่วนผู้ที่ตั้งคำถามก็จะต้องเสียเงินให้กับแอพนี้ในการตั้งคำถามแต่ละครั้งนั่นเอง ดังนั้นความท้าทายของแอพพลิเคชั่นนี้ ก็อยู่ที่เรื่องของการทำอย่างไรให้มีจำนวนผู้ตอบคำถามที่มาก และหลากหลายที่่สุด เพราะแน่นอนว่าข้อมูลจากการตอบคำถามดังกล่าวจะมีความแม่นยำมากขึ้น ที่สำคัญคือจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานในเชิงสถิติได้จริงนั่นเอง จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือผู้ตั้งคำถามสามารถระบุเพศ อายุ หรือรายละเอียดต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน เมื่อส่งคำถามออกไปแล้ว คำถามดังกล่าวก็จะไปแสดงเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้เท่านั้น เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดแอพ Fastinflow จาก Apple Store ประมาณปลายปีนี้

ชมคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ทีม Fastinflow

[youtube link=”http://youtu.be/Ln8RyrM5A90″ width=”590″ height=”315″]

 

Haamor

เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยคลายปัญหาสุขภาพด้วยการตอบคำถามง่ายๆ จากแพทย์ชั้นนำ โดยสมมติว่าผู้ใช้มีอาการไม่สบาย แล้วอยากรู้ว่ามีแนวทางรักษาอย่างไร ต้องนัดพบแพทย์เมื่อไร เพียงพิมพ์อาการเข้าไป ก็จะมี Flow คำถามที่เกียวกับอาการนั้นขึ้นมา ให้ผู้ใช้ตอบเพียง Yer หรือ No เท่านั้น โดยจะมีฐานข้อมูลจากตำราแพทย์ระดับโลกที่รวบรวมเอาไว้ ซึ่งครอบคลุมโรคกว่า 6000 โรค พอสิ้นสุึดคำถามของ Flow นั้นๆ แล้ว ก็จะมีคำแนะนำขึ้นมาให้ว่าผู้ใช้จะต้องทำยังไง เช่น คุณจะต้องดูแลตัวเองยังไง คุณจะต้องไปพบแพทย์ได้แล้ว เป็นต้น ซึ่ง Flow คำถามเหล่านี้ได้ใช้ทีมแพทย์กว่า 100 ท่าน เขียน Flow พวกนี้ขึ้นมา ซึ่งมีความเชื่อถือได้เป็นสิ่งที่แพทย์ทุกคนเรียนมา โดยความได้เปรียบของแอพนี้คงอยู่ที่การมีคอนเน็กชั่้นที่ดีกับแพทย์จากโรงพยาบาลต่างๆ โดยมีเว็บไซต์ Haamor.com ที่มีข้อมูลอยู่มากพอสมควรแล้ว ดังนั้นแอพนี้เหมือนเป็นการต่อยอดให้กับเว็บไซต์ที่ตนเองทำอยู่ ให้เข้าถึงผู้ใช้งา่นได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง

ชมคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ทีม Haamor

[youtube link=”http://youtu.be/XgTQR-NZCRk” width=”590″ height=”315″]

 

DietParty

เป็นแอพพลิเคชั่นเพื่อคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น โดยมีการแข่งขันกันลดน้ำหนักร่วมกับเพื่อนได้อย่างสนุกสนาน โดยผู้ใช้จะต้องป้อนข้อมูลด้านอาหารการกิน รวมถึงเก็บสถิติการลดน้ำหนักของเราเอาไว้ โดยสามารถแชร์ไปยังโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้ เพื่อเป็นการแข่งขันกันลดน้ำหนักกับเพื่อนๆ นอกจากนี้ในระหว่างที่เล่นก็จะเป็นการสะสมแต้ม เพื่อสร้างให้เกิดแรงกระตุ้นในการลดน้ำหนัก โดยอาจจะมีของรางวัลจากสปอนเซอร์เป็นตัวดึงดูด เรียกว่าเป็นแอพที่ทันกระแสกับยุคนี้ที่คนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น และยังมีช่องทางในการต่อยอดได้อีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมที่ใช้ในการวัดแคลอรี่ รวมถึงการคำนวนอัตราการเผาผลาญร่วมด้วย ก็จะเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

ชมคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ทีม DietParty

[youtube link=”http://youtu.be/5a3b0aGbhNI” width=”590″ height=”315″]

 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเวทีการประกวดดีๆ แบบนี้จะมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วในเมืองไทยก็มีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากโดยเฉพาะจากภาคเอกชน ที่โอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายใหญ่ ก็พยายามสร้างเวทีให้กับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นทั้งหลายได้มาประลองฝีมือกัน และจะเป็นการดีขึ้นอีกถ้าภาครัฐจะเข้ามาช่วยสนับสนุนและผลักดันโครงการเหล่านี้ ให้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นระดับโลกกับเค้าบ้าง และที่สำคัญ OopsMobile จะขอเป็นสื่อกลางที่ช่วยในการผลักดันนักพัฒนาไทยให้ก้าวไกลระดับโลกอีกแรงหนึ่งด้วยนะครับ

 

วิธีซื้อ SIM ไว้เล่นเน็ตที่ญี่ปุ่น

Japan_SIM_06

 

ช่วงนี้แอบเห็นใครๆ ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน บ่องตง อิจฉาอย่างแรง แม้ว่าจะไม่ต้องทำวีซ่าเข้าญี่ปุ่นแล้วก็ตาม แต่นักเขียนธรรมดาๆ อย่างเราก็ยังไม่มีปัญญาจะได้ไปกับเค้าเสียที สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือนั่งอ่านคู่มือท่องเที่ยวญี่ปุ่น บิวท์อารมณ์ สร้างมโนฯ ให้ตัวเองไว้ก่อน พร้อมกับคลิกไลค์บนหน้าวอลล์ของชาวบ้านที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์ หรือกำลังซดราเมงร้อนๆ ให้เรายิ่งอิจฉาเข้าไปอีก แต่ไม่เป็นไรสักวันเราจะไปเหยียบดินแดนญี่ปุ่นให้ได้ ไฟล์ท โตะ!

 

สำหรับใครที่พร้อมและกำลังจะเดินทางไป OopsMobile มีสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดมานำเสนอ นั่นคือการซื้อซิมอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่น เพื่อให้เราสามารถโพสต์ภาพ สร้างความอิจฉาให้เพื่อนๆ ผ่าน Facebook หรือ IG (Instagram) ได้ตลอดเวลา หรือจะเปิดโรมมิ่งไปจากเมืองไทยก็ได้ โดยข้อมูลทั้งหมดนี้ทางทีมงาน Dplus ได้ทดลองใช้จริงที่ญี่ปุ่นมาแล้ว เราจึงขอนำมาบอกต่อให้เพื่อนๆ OopsMobile กันบ้าง ซึ่งมีขั้นตอนอย่างไรนั้น ตามไปดูกันได้เลยครับ

 

ซื้อ SIM ไว้เล่นเน็ตที่ญี่ปุ่น

Japan_SIM_01

วิธีนี้ความจริงอาจมีซิมแบบนี้ให้เลือกหลายเจ้า แต่ที่คนไทยนิยมใช้กันคือ ของบริษัท B-Mobile ซึ่งเป็นซิมแบบ Prepaid จ่ายแล้วใช้ได้ตามเงื่อนไขที่กำาหนด (โดยสัญญาณจะวิ่งบนเครือข่ายของ Docomo อีกทีหนึ่ง) โดยปัจจุบันจะมีให้เลือกใช้สองแบบคือ

• แบบรับส่งข้อมูลได้ 1GB (1GB prepaid) ไม่ขึ้นกับว่าใช้กี่วัน และไม่จำกัดความเร็ว แบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ใช้มากๆ อัพรูป แชร์ เมนท์บ่อยๆ และอยากได้ความเร็วแบบเต็มๆ
• แบบใช้ได้ 14 วัน (14 days prepaid) โดยไม่จำกัดปริมาณข้อมูล แต่จำกัดความเร็วแค่ 300 k (หรือประมาณสองเท่าของระบบ Edge ที่ใช้กันก่อนจะมี 3G ในบ้านเรา) เหมาะสำหรับคนที่ใช้งานไม่หนักและอยากประหยัดให้ใช้ได้หลายๆ วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่รับซิมไปเลย

 

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
หน้าตาของชุด Micro SIM แบบเหมา 1 GB
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
แกะซิมใส่เครื่องแล้วใช้ได้เลย

 

ส่วนสมาร์ทโฟนที่รองรับกับซิมของเครือข่ายนี้ก็จะมี iPhone 5, iPhone 4S, iPad mini, iPad 2, iPad 3, The New iPad หรือเอาง่ายๆ ว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับคลื่นความถี่?W-CDMA/HSDPA/HSUPA 2100 MHz หรือ 800 MHz ก็สามารถใช้งานเครือข่ายนี้ได้ แต่เมื่อดูรายชื่ออุปกรณ์ที่รองรับกลับไม่เห็นมี Samsung Galaxy S4 เลยอ่ะ อาจจะเป็นเพราะ Galaxy S4 มีขายแยกตามเครือข่ายก็เป็นได้เลยยังไม่ได้อัพเดทเพิ่มรายชื่อลงในรายการ ลองดูรายชื่ออุปกรณ์ที่รองรับได้ที่ลิงค์นี้ครับ
http://www.bmobile.ne.jp/english/devices.html

 

ซิมทั้งสองแบบนี้ราคาเท่ากันคือ 3,980 เยน หรือประมาณ 1,300 บาท โดยจะมีเฉพาะบริการเน็ต ไม่สามารถใช้โทรออกหรือส่ง SMS หรือ MMS ได้ ดูรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่เว็บ www.bmobile.ne.jp/english โดยจะต้องสั่งซื้อทางออนไลน์และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น และรับซิมได้ที่สนามบิน หรือให้ส่งซิมไปรอที่โรงแรมที่พักในญี่ปุ่นเท่านั้นด้วย และเมื่อใช้จนครบตามเงื่อนไขแล้ว เช่น ครบ 1GB หรือครบ 14 วันก็จะใช้ต่อไม่ได้ นอกจากจะเติมเงินอีก 3,980 เยนก่อน ซึ่งจะเติมผ่านเว็บได้ที่ www.bmobile.ne.jp/english/visitor_charge.html

 

เปิดบริการใช้เน็ตไปจากเมืองไทย

หรือที่เรียกว่าบริการ Data Roaming ซึ่งมีให้เลือกทั้งสามค่ายคือ AIS, dtac และ Truemove H ในราคาพอๆ กัน วิธีนี้คุณใช้เครื่องและเบอร์เดิมได้เลย โดยก่อนจะใช้ถ้าไม่เคยเปิดบริการแบบนี้ไว้ก่อนเลย ก็ต้องไปแจ้งขอเปิดกับโอเปอเรเตอร์หนึ่งในสามค่ายนี้ก่อน จากนั้นเมื่อจะเดินทางจะต้องทำดังนี้

 

• AIS โทรแจ้งศูนย์ว่าจะเดินทางไปกี่วัน มีแพ็คเกจอะไรให้เลือกบ้าง แนะนำให้เลือกแบบ Unlimited คือไม่จำกัดปริมาณข้อมูล (จะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะเสียค่าบริการแพงเพราะใช้เกิน) โดยเลือกแพ็คเกจให้มีจำนวนวันที่ใกล้เคียงวันที่จะใช้ เช่นออกเดินทางไปตอนกลางคืน ไม่นับ นับเฉพาะวันที่อยู่ญี่ปุ่น ส่วนวันกลับถ้าออกแต่เช้าและคิดว่าจะไม่ใช้เน็ตก็ไม่ต้องนับ (แต่ตั้งแต่เที่ยงคืนก่อนหน้านั้นต้องอย่าลืมปิดการรับส่งข้อมูลหรือ Mobile data บนสมาร์ทโฟนของเราด้วยก็แล้วกัน) ค่าบริการจะตกเฉลี่ยวันละประมาณ 350-400 กว่าบาท (ไม่รวมค่าโทร) และต้องเลือกโอเปอเรเตอร์เป็น Softbank ด้วย (ห้ามปล่อยเป็น Automatic เด็ดขาด)

 

• Truemove Hถ้าเคยแจ้งขอเปิดใช้บริการ Data Roaming ไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม จะสามารถนำโทรศัพท์และซิมเดิมไปใช้ที่ญี่ปุ่นได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งอีก พอเปิดเครื่องและใช้เน็ตก็จะเริ่มนับโดยอัตโนมัติและคิดค่าบริการเป็นวันๆ ไป ตกวันละ 300 กว่าบาท เพียงแต่ต้องเลือกโอเปอเรเตอร์ที่ญี่ปุ่นเป็น Docomo ให้ถูกเท่านั้น (ห้ามปล่อยเป็น Automatic เด็ดขาด) ทั้งนี้ Docomo เป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่งที่ญี่ปุ่น เท่าที่เคยใช้รู้สึกว่าความเร็วและความครอบคลุมจะดีกว่าอันดับสองคือ Softbank อยู่บ้าง

 

• dtac สำหรับการเปิด Data Roaming ของดีแทคมีขั้นตอนเหมือนค่ายอื่นๆ คือโทรไปสมัคร เลือกประเทศ และเลือกแพ็กเกจที่ต้องการ และระบุจำนวนวันที่จะใช้ สำหรับโอเปอเรเตอร์ที่ญี่ปุ่น หากใช้ dtac สามารถเลือกโอเปอร์เรเตอร์เป็น NTT และ Docomo (ห้ามปล่อยเป็น Automatic เด็ดขาด) ค่าบริการจะตกเฉลี่ยประมาณ 350 บาทต่อวัน (แพ็กเกจอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบราคาในเว็บของ DTAC เท่านั้น)

 

เช่าตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi

Japan_SIM_05

วิธีนี้จะใช้ตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi แบบพกพาได้ขนาดเล็กๆ (บางทีก็เรียก Pocket Wi-Fi หรือ Mobile Wi-Fi หรือ Mi-Fi ก็มี) ซึ่งรับส่งข้อมูลผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ แต่กระจายสัญญาณออกมาเป็น Wi-Fi ให้คุณใช้พร้อมกันได้หลายเครื่อง สามารถหาเช่าได้ โดยสั่งจองผ่านเว็บและรับของที่สนามบิน นอกจากนี้ยังมีระยะที่ใช้งานได้จำกัด คือทุกคนที่จะใช้ต้องอยู่ใกล้ๆ กันตลอดเวลา ถ้าใครเดินแตกแถวหรือแยกกัน เช่น ไปห้องน้ำ ก็จะใช้ไม่ได้

 

อุปกรณ์แบบนี้มักจะเปิดใช้งานได้ทันที และเมื่อใช้เสร็จแล้วก็มีซองให้ส่งไปรษณีย์คืนบริษัทให้เรียบร้อย แค่ใส่ซองแล้วนำไปหยอดตู้จดหมายเท่านั้น ลองดูที่ www.econnectjapan.com, www.rentafonejapan.com/Mobile-Internet.html, www.telecomsquare.co.jp/inbound/en, www.globaladvancedcomm.com

 

อย่างไรก็ตามควรอ่านเงื่อนไขการเช่าให้ละเอียด ในกรณีเครื่องหาย หรือชำรุด เราจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะซื้อประกันรวมไว้ด้วยก็ตาม

 

เอาล่ะครับก็ลองเลือกกันตามสะดวก ว่าเราจะใช้วิธีไหนให้สามารถเชื่อมต่อสู่โลกโซเชียลต่างๆ ได้แบบตลอดเวลาที่กำลังลั่นล้าท่องเที่ยวไปทั่วญี่ปุ่น หรือหากใครได้ลองใช้บริการที่นอกเหนือจากนี้ก็แชร์ประสบการณ์มาให้เราได้ทราบกันบ้างนะครับ ขอให้เที่ยวกันสนุกๆ นะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือฮอกไกโด คนเดียวก็เที่ยวได้

 

Screen Sync สื่อออนไลน์รูปแบบใหม่ ซิงค์โต้ตอบกับสมาร์ทโฟนได้

วันนี้ OopsMobile ได้รับเกียรติเชิญเข้าร่วมสัมภาษณ์พิเศษจากทาง กรุงศรี ออโต้ ให้เราได้มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Screen Sync ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่ได้นำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ในการทำสื่อโฆษณาออนไลน์ผ่านหนังสั้นเรื่องเอกละดิน ที่สามารถโต้ตอบผู้ชมได้แบบอินเตอร์แอกทีฟ

 

Screen Sync คืออะไร

Akeladin05

เราได้รับการอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า สมมติว่าเรากำลังเข้าชมหน้าเว็บอยู่ แล้วกำลังดำเนินการไปเรื่อยๆ จากนั้นเมื่อมีอุปกรณ์อื่นมาเชื่อมต่อ เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ซึ่งถูกเขียนโปรแกรมรองรับเอาไว้แล้ว ให้สามารถเข้าถึงหน้าเว็บในช่วงเวลาเดียวกันนั้นได้ด้วย จึงทำให้เกิดการโต้ตอบซึ่งกันและกันระหว่างหน้าเว็บบนพีซี และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ โดยเทคนิคนี้ทาง Google Chrome ก็เคยได้นำมาใช้ทำเป็นเกมส์ Super sync Sports ที่ให้ผู้เล่นสามารถควบคุมเกมบนหน้าเว็บผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้

ชมคลิปเกมส์ Super sync Sports
[youtube link=”http://youtu.be/aSmqq9RbiaU” width=”590″ height=”315″]

 

ลองดูคลิปอธิบายเทคโนโลยี ScreenSync ของหนังสั้นเรื่องนี้

[youtube link=”http://www.youtube.com/watch?v=ko-jNRs2V7Q&feature=share&list=UUYAUDEaTdDBBFV4twBxWRKQ” width=”590″ height=”315″]

 

เริ่มเล่นกันเลย

Akeladin06
เอาล่ะครับมาลองเล่นของจริงกันเลยดีกว่า โดยสิ่งที่ต้องมีก็คือ คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ที่ติดตั้งแอพสแกน QR Code เอาไว้ จากนั้นก็เข้าไปที่เว็บไซต์ www.akeladin.com จะมี QR Code ขึ้นมาให้ แล้วเอาสมาร์ทโฟนสแกน QR Code ดังกล่าวเพื่อทำการซิงค์สมาร์ทโฟนร่วมกับหน้าเว็บ จากนั้นก็เริ่มเล่นกับแคมเปญของกรุงศรีออโต้ได้เลย โดยตลอดการเล่นจะใช้สมาร์ทโฟนเป็นตัวควบคุมการเล่นคลิปหนังสั้นในหน้าจอคอมฯ แทน และจะมีเกมให้ค้นหาความลับจากคลิปหนังสั้นที่กำลังชมไปเรื่อยๆ อีกด้วย ซึ่งจะเล่นสลับไปมาระหว่างชมคลิปนั่นเอง

โดยเนื้อหาของเรื่องนี้จะเ้ป็นเรื่องราวของเอก ชายหนุ่มที่แอบหลงรักจอย เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน มานานกว่า 6 ปี จนวันหนึ่งจอย ต้องเผชิญปัญหาทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวจนทำให้ต้องออกจากงาน จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่จอยคิดจะเปิดร้านกิฟท์ช็อปเป็นของตัวเองตามความฝันที่เคยสร้างไว้ แต่ปัญหาคือมีเงินเก็บไม่พอ เอกจึงพยายามหาทางช่วย จนได้เงินมาก้อนหนึ่งให้จอยได้เปิดร้านจนสำเร็จ โดยที่จอยไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเอกนำเงินก้อนนี้มาได้อย่างไร ระหว่างที่เรื่องเราทั้งหมดกำลังดำเนินไป ก็จะมีการหยุดใ้ห้ค้นหาความลับในช่วงต่างๆ ของเรื่องราวนี้ โดยมีทั้งรูปแบบคลิปวิดีโอเฉลย, การแตะ หมุน สัมผัสกับลูกเล่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ขัดตะเกียงวิเศษ เอกละดิน, หมุนลูกบิดเปิดประตู, เปิดอ่านไดอะรีื หรือ เปิดกล่องเอกสาร ซึ่งเหล่านี้จะมีคำเฉลย หรือคำคมมุขเสี่ยวๆ ไว้ให้แชร์ไปยัง Facebook ของผู้เล่นได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นการสร้างกระแสในการรับชมให้เกิดการบอกต่อไปในตัว

Akeladin07

Akeladin08

Akeladin09

 

กระแสตอบรับเป็นอย่างไร

หลังจากที่ทีมงานของเราได้ลองเล่นและรับชมกันไปเรียบร้อยแล้ว นส.กุสุมาลย์ โลว์ศลารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด กรุงศรีัออโต้ ได้เล่าให้ฟังถึงกระแสการตอบรับของแคมเปญรูปแบบใหม่นี้ ว่าที่ผ่านมาหลังจากเปิดตัวไปได้ประมาณ 1 เดือน มีคนเข้าชมเว็บ www.akeladin.com แบบโดยตรงเกือบ 1 แสนราย มีคนชมคลิปผ่าน Youtube กว่า 66,000 ครั้ง และในส่วนของการทำโฆษณาบน Facebook มีคนเห็นมากกว่า 1.6 ล้านคน และมีคนคลิก Like กว่า 50,000 Like ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าภาคภูมิใจในการทำแคมเปญออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้ และคาดว่าภายในปลายปีนี้จะมีอีกหนึ่งแคมเปญที่จะเจาะกลุ่ม Gen Y แบบนี้ให้ได้รอติดตามกันอีก

akeladin01

และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการสร้างการรับรู้ของแบรด์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในยุค Gen Y ที่มักจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากอุปกรณ์พกพาต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมองในแง่ของเทคโนโลยีแล้วถือว่าเมืองไทยมีศักยภาพพร้อมด้วยบริการ 3G-4G ที่เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ได้ทุกเวลา และเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักการตลาดจะต้องตีโจทย์และดึงความสนใจจากผู้บริโภคมาให้ได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยี Screen Sync ที่กรุงศรีออโต้ได้นำมาใช้เป็นเจ้าแรก เชื่อว่าในอนาคตเราคงได้เห็นแคมเปญแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจจะสามารถซิงค์อุปกรณ์หลายตัวพร้อมกัน ร่วมกับหน้าเว็บเพื่อแข่งขัน หรือเล่มเกมชิงรางวัล ก็เป็นได้

ฟีเจอร์ไหนที่ iOS 7 ก๊อปปี้เค้ามาบ้าง แซวขำๆ

hero

คงมีหลายบล็อกที่รีิวิวฟีเจอร์ใหม่ของ iOS 7 ออกมากันเต็มไปหมดแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่อยากจะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวซ้ำอีก เพราะยังไงๆ ก็คงเป็นข้อมูลที่เหมือนๆ กัน เนื่องจากได้มาจากแหล่งข่าวเดียวกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมานั่งจับผิดกันดีกว่า ว่ามีฟีเจอร์ไหนบ้างที่ iOS 7 ก็อปปี้แอนด์เดเวล็อปเขามาบ้าง อิอิอิ

Control Center <เหมือน> Quick Bar บน Android

images_1370893951iOS-7-01?quickbar

Quick Bar บน Galaxy S4

เปิดประเด็นแรกกันที่แถบควบคุมลัดหรือ Control Center ที่เพียงลากนิ้วบนหน้าจอจากล่างขึ้นบน ก็จะเปิดแถบนี้ขึ้นมา โดยจะมีปุ่มช็อตคัทต่างๆ เช่น เิปิด-ปิด WiFi, Bluetooth, Flight Mode, ไฟฉาย, นาฬิกาปลุก, เครื่องคิดเลข เป็นต้น ซึ่งเหมือนกับแถบควบคุมในหน้า Notifications บน Android 4.2 อย่างใน Galaxy S4 ที่จะมีแถบ Quick Bar ให้แตะเลือกเปิด-ปิดใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ แถมยังเพิ่มปุ่มควบคุมที่รองรับได้ตามต้องการอีกด้วย และที่สำคัญมันมีรองรับมาตั้งแต่รุ่น Galaxy S3, Note 2 แล้วนะจ๊ะ

 

Multitasking พรีวิวได้ <เหมือน> Windows Phone 8?
images_1370894662iOS-7-03??261753-microsoft-windows-phone-7-mango-multitasking

Multitasking บน Windows Phone 8

ถัดมาเป็นส่วนของการพรีวิวหน้าแอพที่รันค้างไว้แบบมัลติทาส์กกิ้ง ซึ่งจะแสดงหน้าแอพที่เปิดไว้ล่าสุดเอาไว้ด้วย จากเดิมที่เป็นเพียงแค่ไอคอน ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็คงได้แรงบันดาลใจมาจากกิ๊กเก่าอย่าง Windows Phone 8 นั่นเอง แต่แอปเปิ้ลก็ขอพัฒนาต่อยอดให้เหนือกว่าด้วยความสามารถในการรีเฟรชข้อมูลให้อัตโนมัติอย่างเช่น Facebook ที่จะอัพเดทข่าวใหม่ที่เข้ามาล่าสุดให้ทันทีเมื่อเรียกสลับแอพขึ้นมาใช้งาน แต่ได้ข่าวว่าจะทำให้กินแบตมากยิ่งขึ้น

 

Camera ใส่ฟิลเตอร์ก่อนถ่ายและหลังถ่ายได้ <เหมือน> Android

camera_filter_process_still_screen

อยากจะตะโกนดังๆ ให้ไปถึงเฮียจ๊อบส์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้ยินเสียเหลือเกินว่าฟังก์ชั่นกล้องบน iPhone เนี่ย ล้าสมัยกว่าเค้าเสียทุกที อย่ามาใช้ข้ออ้างเรื่องคอนเซ็ปที่ต้องการให้ง่ายในการใช้งานอีกเลย เพราะถึงไงผู้ใช้ต้องหาแอพมาตกแต่งภาพกันอยู่ดี แต่ถ้ามีมาให้แต่แรกทุกอย่างก็จะได้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งในภายหลังให้ยุ่งยาก ซึ่งจุดนี้ บน Android Phone ทุกยี่ห้อ เค้าก็มีกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจะครับ เจ้านายยยยยยย

 

AirDrop ส่งไฟล์ผ่าน WiFi เดียวกัน <เหมือน> Samsung Link

images_1370895934iOS-7-08

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่ได้สดใหม่อะไร และใครๆ เค้าก็ทำได้กันมานานแล้ว สำหรับการโอนถ่ายไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน ซึ่งบน Mac OS ด้วยกันก็ทำได้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะปล่อยให้รองรับได้บน iOS ก็เท่านั้น ที่สำคัญ คู่ไม้เบื่อไม่เมาอย่าง Samsung ก็มีฟีเจอร์แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเมื่อก่อนใช้ชื่อว่า Samsung Kies พอมาเป็นบน S4 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อแอพว่า Samsung Link แทน

 

Safari สไลด์เลือกแท็บได้ <เหมือน> Chrome Browser

images_1370896819iOS-7-09Chrome

?Tab ใน Chrome

หากใครเคยใช้ Chrome บน Android แล้วล่ะก็คงรู้ดีว่าเวลาที่เราจะสลับเปลี่ยนหน้าไปยังแท็บอื่นๆ ที่เปิดค้างไว้ก็เพียงแค่สไลด์ขึ้นๆ ลงๆ เลือกได้ตามสบาย แอปเปิ้ลเห็นแล้วคงอยากขออินเทรนด์กกับเค้าบ้างไรบ้างเลยจับมันใส่ลงใน Safari ของตัวเองเลยซะงั้น

 

App Store Auto Update อัพเดทแอพให้อัตโนมัติ <เหมือน> Play Store

images_1370898048iOS-7-014

อี๋! แอปเปิ้ลเพิ่งทำ ออโต้อัพเดทแอพได้เหรอเทอว์…นี่คงเป็นคำหยิกแกมหยอกจากสาวกแอนดรอยด์ด้วยความสะใจอย่างแน่นอน เพราะบน Play Store เค้าสามารถให้ผู้ใช้งานตั้งค่าอัพเดทแอพได้อัตโนมัติมานานแล้ว แต่สำหรับ App Store เพิ่งจะมาคิดได้ว่าเอ้…นี่สงสัยเราลืมอะไรไปรึเปล่านะ หุหุหุ

และนี่ก็เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ผมได้จับมาแซวเล่นๆ ขำๆ เท่านั้นนะครับ อย่างน้อยเชื่อว่าทุกอย่างที่แอปเปิ้ลได้พัฒนามา ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งานนั่นเอง โดยแอปเปิ้ลจะเริ่มปล่อยให้อัพเดทกันจริงๆ ก็ประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค. นี้ครับ ท้ายนี้ผมมีรูปจริงๆ ของ iOS7 เวอร์ชั่น Beta สำหรับนักพัฒนามาฝากให้ดูกันด้วยครับ

379582_10200894514838924_441954170_n
หน้า Home
7247_10200894516558967_1527709049_n
Folder สไตล์ใหม่
972267_10200894523559142_1211346161_n
แสดงแอพแบบมัลติทาส์ก
992971_10200894516118956_2117756610_n
หน้าแอพ Phone
969204_10200894522079105_1942570734_n
Control Center
602402_10200894515958952_96849112_n
เมนูใน Settings

 

Facebook 6.2 อัพเดทใหม่ บน iOS เพิ่ม Feeling และกิจกรรมลงในสถานะโดยไม่ต้องพิมพ์

IMG_4282?IMG_4277?

เช้านี้คงมีหลายคนได้ลองอัพเดท Facebook เป็นเวอร์ชั่นใหม่ 6.2 สำหรับผู้ใช้ iOS อย่าง iPhone/iPad โดยมีฟีเจอร์ใหม่้ที่เพิ่มขึ้นมานั่นคือ What Are You Doing? ซึ่งทำให้เราไม่้ต้องพิมพ์สถานะว่ากำลังรู้สึกยังไง หรือทำกิจกรรมอะไรอยู่ให้เสียเวลา่อีกต่อไป
 
เพียงแตะปุ่ีม Status แล้วแตะปุ่มรูปหน้ายิ้ม ก็จะมีรูปแบบกิจกรรมต่างๆให้เราได้เลือกใช้ เช่น Feeling จะมีรูปแบบอารมณ์ให้เราแนบไปกับสถานะ และเมื่อเปิดดูบนบราวเซอร์ จะแสดงเป็น Emoticon พร้อมคำอธิบายความรู้สึกเป็นภาษาไทยได้เลย ส่วนหมวดอื่นๆ อย่าง Playing ก็จะมีตัวเลือกของหน้าเพจตามกิจกรรมต่างๆมาให้ ซึ่งเมื่อแชร์ออกไปก็เท่ากับเป็นการแชร์หน้าเพจเหล่านั้นออกไปในตัวอีกด้วย จุดนี้ถือว่าอาจจะเป็นช่องทางในอนาคตที่เจ้าของแบรนด์ต่างๆ จะสร้างแคมเปญต่อยอดได้ ถ้า Facebook ยอมให้ในส่วนนี้
 

IMG_4278?IMG_4279

IMG_4281

 
แต่สำหรับใครที่ปุ่ม Feeling หายไป ดูวิธีแก้ได้ที่ “วิธีนำปุ่ม FEELING ใน FACEBOOK ที่หายไป กลับคืนมา ใช้ได้ทั้ง IPHONE, IPAD, ANDROID
 
เรื่อง @than_dplus