รวบตึง 10 ฟีเจอร์ใหม่บน iOS 9 มั่นใจได้ใช้กันแน่ๆ!

 

Apple จัดเต็มกว่า 200 ฟีเจอร์ให้ทีไร ไม่เคยใช้ครบสักทีจริงมั้ยคะ? วันนี้แอดเลยขอจัดอันดับ 10 ฟีเจอร์น่าใช้ และต้องได้ใช้แน่ๆ (ไม่มากก็น้อย) ให้สาวก iDevice ที่กำลังรออัพเดท iOS 9 ตัวเต็ม (หรือคนที่สนใจลงเวอร์ชั่นเบต้า) ได้น้ำลายหกกันเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นแนบไฟล์เอกสารผ่าน Mail, โหมดประหยัดแบตเตอรี่, เปิดแฟลชขณะถ่ายวิดีโอ, ตอบกลับข้อความได้ทุกแอพ หรือแม้แต่ฟีเจอร์ค้นหาคำสั่งในหน้า Settings แหม..อันนี้ Apple เค้ารู้จริงว่าหากันไม่ค่อยจะเจอ Oops!

10feature_thumb

 

1. iCloud Drive

iCloud Drive บน iOS 9 จะมีบทบาทร่วมกับแอพอื่นๆมากขึ้น เสมือนเป็น SD Card อีกตัวที่สามารถเก็บไฟล์จากอีเมล์ รวมถึงอัพโหลดไฟล์ขึ้นเว็บได้ด้วย แต่ก่อนอื่นไปดูวิธีเรียกใช้ iCloud Drive บน PC และอุปกรณ์ที่ใช้ iOS กันก่อนดีกว่าค่ะ

 

PC

เข้าไปที่ www.icloud.com ล็อกอิน Apple ID ให้เรียบร้อย จะเห็นไอคอน iCloud Drive ดังรูป

 

iclouddrive1

 

จากนั้นเข้าไปเพิ่มไฟล์ต่างๆที่อยู่ในเครื่องคอมขึ้น iCloud Drive หรือดึงจาก iCloud Drive เข้าเครื่องคอมก็ได้ โดยใช้วิธีลากมาวางในโฟลเดอร์หรือหน้าที่ต้องการได้เลย

 

iclouddrive2

 

อุปกรณ์ที่ใช้ iOS 9

ให้เข้าไปเปิดใช้งานที่ Settings > iCloud >  iCloud Drive ก่อน จากนั้นเปิด Show on Home Screen เพื่อแสดงไอคอนแอพขึ้นมาที่หน้า Home สำหรับเปิดดูไฟล์ต่างๆได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเข้าเว็บ icloud.com

 

iclouddrive3

 

ตัวอย่างการเลือกใช้รูปจาก iCloud Drive 

เปิดแอพ Safari แล้วเข้าหน้าเว็บที่ต้องการอัพโหลดไฟล์หรือแชร์ไฟล์ จากนั้นจะเห็นตัวเลือก iCloud Drive ดังรูป

 

10feature10

 

2. Mail แนบไฟล์เอกสาร

Add Attachment เป็นคำสั่งที่หลายคนเฝ้ารอมานาน เพราะก่อนหน้านี้ Apple ให้แนบได้เฉพาะไฟล์ภาพอย่างเดียว ใครอยากจะส่ง pdf, word, excel ต้องใช้วิธีอื่น แต่พอมี iCloud Drive ที่เปรียบเสมือน SD Card ส่วนตัว ก็ยิ่งทำให้เลือกไฟล์ได้หลายนามสกุลมากขึ้น

 

11425638_10153438249338281_1332774607_n

 

ตัวอย่างบันทึกไฟล์แนบจาก Mail เข้า iCloud drive

แตะค้างที่ไฟล์แนบในอีเมล์เลือก Save Attachment

 

10feature13

 

ตัวอย่าง Markup แต่งรูปในแอพ Mail

นอกจากบันทึกไฟล์และแนบไฟล์ได้แล้ว แอพ Mail ยังสามารถแต่งภาพก่อนส่งได้ด้วย โดยหลังจากเลือก Insert Photo or Video แล้ว ให้แตะที่รูป 1 ครั้ง เลื่อนหาคำสั่ง Markup จากนั้นเพิ่มข้อความหรือวาดเส้นลงไปได้เลย

 

10feature11

 

3. Low Power ประหยัดพลังงาน

โหมดประหยัดพลังงานจะแสดงขึ้นถามทันทีเมื่อเหลือการใช้งานแบตเตอรี่ 20% หากแตะ Low Power Mode ก้อนแบตเตอรี่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง รวมถึงปิดการทำงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็น และลดสปีดอินเตอร์เน็ตลงเล็กน้อย

 

IMG_2848

 

ถ้าต้องการใช้โหมด Low Power บน iOS 9 ตลอดเวลาให้เข้าไปที่ Settings > Battery > Low Power Mode จะช่วยลดการใช้งานที่ไม่จำเป็น โดย iPhone 6 จะยืดการใช้งานได้อีก 1 ชั่วโมง และบน iPad ยืดการใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง

 

IMG_2829

 

4. Passcode Lock 6 ตัว

หน้าลงทะเบียน iOS 9 สามารถตั้งรหัส Passcode lock ได้ถึง 6 ตัว หรือจะเลือก Passcode Options ตั้งแค่ 4 ตัวเหมือนเดิมก็ได้

 

IMG_2799
กรณีเลือก Don’t Add Passcode ยังไม่ตั้งรหัสล็อคตอนนี้ สามารถตั้งค่าภายหลังได้ที่ Settings > Touch ID & Passcode > Turn Passcode On

 

5. ซูมขยายขณะเล่นวิดีโอ

iOS 9 อนุญาตให้ย่อขยายวิดีโอขณะเปิดดูได้เป็นที่เรียบร้อย จะถ่ายมาไกลแค่ไหนก็ซูมดูใกล้ๆได้เหมือนรูปภาพ

 

10feature17

 

6. เปิด/ปิดแฟลชขณะบันทึกวิดีโอ

กล้อง iPhone ต้องยอมรับว่าถ่ายวิดีโอในที่มืดได้มืดจริงๆ โชคดี iOS 9 สามารถเปิดแฟลชขณะบันทึกได้แล้ว ช่วยให้มองเห็นชัดเจนขึ้นว่าใครกำลังทำอะไรนะ อุ๊ปส์!

 

10feature19

 

7. Note คำสั่งครบครันแนบไฟล์ภาพได้

สมุดโน๊ตหน้าตาคุ้นเคยแต่เครื่องมือใช้งานมากกว่าเก่า สามารถเพิ่มเมนูรายการ, บูลเล็ต, รูปภาพ, แนบลิงค์ รวมถึงสเก็ตช์ภาพได้ สังเกตจากไอคอนรูปบวก + แตะเมื่อไหร่มีคำสั่งขึ้นมาเมื่อนั้น

 

10feature27

 

ตัวอย่างเขียนข้อความด้วยปากกาขนาดต่างๆ สีปากกาค่อนข้างอ่อนไปสักหน่อย แต่หลังจากเขียนเสร็จแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่ข้อความธรรมดา เพราะสามารถแตะแชร์ต่อได้โดยจะถูกแปลงเป็นไฟล์ภาพให้ทันที

 

10feature26

 

8. ใช้ Touch ID ปกป้องแอคเคาท์

Username และ Password เป็นสิ่งที่หลายคนลืมเป็นประจำ ดังนั้นหากใครใช้ iPhone 5S ขึ้นไป สามารถเปิดใช้ Touch ID เพื่อปกป้องแอคเคาท์ที่บันทึกไว้ใน Settings > Safari > Passwords ได้อย่างสบายใจมากขึ้น

 

10feature32

 

9. Reply ตอบกลับได้ทุกแอพ

แจ้งเตือนจากแอพโซเชียลทั้งหลายบน iOS 9 จะไม่เสียเวลาตอบกลับอีกต่อไป ด้วยการลากแถบข้อความนั้นลงมา แล้วเลือก Reply ได้ทันที

 

10feature9

 

10. Search ใน Settings

ช่วยได้เยอะทีเดียวสำหรับแถบ Search Settiings จะตั้งค่าใน Settiings แต่ละทีหาคำสั่งไม่เจอ ให้ใช้วิธีพิมพ์คำค้นหลักๆลงไป เช่น อยากตั้งค่าอีเมล์ก็พิมพ์ mail ลงไป ระบบจะค้นหาคำสั่งที่เกี่ยวข้องขึ้นมา ดังรูป

 

10feature34

 

และนี่คือ 10 ฟีเจอร์ใหม่บน iOS 9 ที่แอดใช้บ่อยจนต้องบอกต่อ หวังว่าคนที่กลัวแบตหมดเร็วจะวางใจ Low Power และเริ่มใช้ระบบป้องกันความปลอดภัยของ Touch ID กับ Passcode Lock 6 ตัวมากขึ้นนะคะ

 

กำจัด Baidu ออกจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Android

 

baidu000

 

หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ Baidu กันมาบ้างแล้ว แต่ก็อาจมีบางคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย คงมีคำถามว่าอะไรคือ Baidu? แล้วทำไมต้องกำจัด ลองมาทำความรู้จักกันก่อนนะคะ (สำหรับคนที่รู้จักแล้วข้ามไปอ่านหัวข้อถัดไปได้เลย ^ ^)

 

————————————————————————————————————————————–

กระแสตอบรับ Baidu จากผู้ใช้ชาวไทย

Baidu หรือ ไป่ตู้ (แค่ชื่อก็อ่านผิดเป็นไบดู!มาตลอด) เป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีนที่ให้บริการหลากหลายประเภท ทั้งการค้นหาข้อมูลแบบ Search Engine รวมถึงซอฟต์แวร์ต่างๆ ซึ่งภาพลักษณ์ของ Baidu ในสายตาผู้ใช้ชาวไทยค่อนข้างจะเป็นไปในทางลบ เนื่องจากพฤติกรรมของ Baidu ที่มักแอบแฝงโปรแกรมของตัวเอง (เช่น PC Faster, Hao123, Baidu Antivirus และอื่นๆ) มากับโปรแกรมฟรีที่ผู้ใช้ดาวน์โหลดแล้วติดตั้งพ่วงลงไปด้วยแบบไม่รู้ตัว (เช่น ดาวน์โหลด FileZilla มาติดตั้งก็ได้ Baidu แถมมาด้วย)

 

baidu002

 

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับกรณีที่มีผู้ใช้หลายรายพบปัญหาหลังจากติดตั้งบางโปรแกรมของ Baidu (อ่านเพิ่ม ทดสอบติดตั้ง Baidu) เช่น มาปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆในเครื่อง รวมถึงการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงในการใช้งานที่แจ้งว่าจะไม่รับประกันความเสี่ยงใดๆที่อาจจะเกิดขึ้นเลย 0.0 (อ่านเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรมของ Baidu)

 

baidu003

 

พอรู้ตัวว่าได้ของแถมมา เมื่อจะถอนโปรแกรมทิ้งกลับพบปัญหาอีกว่าไม่สามารถถอนการติดตั้งแบบปกติได้!! (ลงง่ายถอนยาก ตัวอย่างปัญหาการถอนโปรแกรม Baidu) ต้องไปทำสารพัดวิธีเพื่อถอนรากถอนโคน ถึงกับมีผู้เชี่ยวชาญเขียนโปรแกรม Baidu Remover และ Baidu Block ขึ้นมาเพื่อถอนการติดตั้งและบล็อค Baidu โดยเฉพาะ (อ่านเพิ่มที่ “คลิ๊กเดียว Baidu กลับบ้านเก่า”) บางรายถึงกับยอมล้างเครื่องหนีกันเลยทีเดียว

 

baidu004

 

และถึงแม้ว่าจะมีเสียงจากอีกฝ่ายหนึ่งที่แย้งว่าได้ใช้งานโปรแกรมของ Baidu อยู่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ซึ่งก็เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย เมื่อเสียงบอกเล่าถึงปัญหาที่พบเจอนั้นค่อนข้างน่ากลัวเสียจนไม่มีเหตุผลดีๆที่จะเก็บ Baidu ไว้ในเครื่อง จึงทำให้ผู้ใช้ชาวไทยจำนวนไม่น้อยพร้อมใจกันแบนโปรแกรมในตระกูล Baidu

 

หลังจากที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ Baidu ที่สร้างปัญหาในเครื่องคอมพิวเตอร์ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็เริ่มมีผู้ใช้บางคนได้พบว่า Baidu ได้ตามมาหลอกหลอนบนอุปกรณ์ Android ด้วย ซึ่งก็มีทั้งที่แถมมากับระบบปฏิบัติการเลย (ถอนออกไม่ได้) และกลุ่มผู้ใช้ที่ได้แถมมาแบบไม่รู้ตัว เช่น ติดมากับแอพสัญชาติจีนบางตัว เช่น Mi Launcher หรือผู้ใช้ไปติดตั้งแอพของ Baidu เอง เช่น Baidu Browser, PhotoWonder เป็นต้น เมื่อติดตั้งแอพที่พ่วงแถม Baidu ลงในเครื่อง ก็จะแอบมาสร้างโฟลเดอร์ baidu สำหรับเก็บไฟล์ต่างๆเอาไว้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า Baidu มีจุดประสงค์อะไรจากพฤติกรรมนี้

 

baidu005

 

แต่ด้วยชื่อเสียงของ Baidu ที่เป็นไปในทางลบ ทำให้เหล่าผู้ใช้ Android เริ่มกลัวว่าการแอบแทรกซึมเข้ามาของ Baidu จะทำให้เครื่องที่ใช้งานนั้นมีปัญหาหรือถูกล้วงความลับไปโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะใช้งานอย่างปลอดภัยและสบายใจไว้ก่อน โดยการหาวิธีที่จะกำจัด Baidu ออกไปจากเครื่องที่ใช้งาน

————————————————————————————————————————————–

 

จะรู้ได้อย่างไรว่า Baidu มาแอบอยู่

ในเครื่องหรือเปล่า?

จะรู้ได้อย่างไรนะว่ามี Baidu เข้ามาแฝงตัวอยู่ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android ของคุณแล้วหรือยัง? ถ้าเจอแจ็คพอตเข้าแล้วจะทำยังไงดี?

 

เริ่มจากเปิดแอพ ไฟล์ส่วนตัว ที่มากับเครื่อง (หรือดาวน์โหลดแอพจัดการไฟล์จาก Play Store มาติดตั้ง เช่น ES File Explorer File Manager) แล้วเข้าไปที่ ที่จัดเก็บในเครื่อง ถ้าพบโฟลเดอร์ baidu ก็แสดงว่าเจอแจ็คพอตเข้าแล้ว!!

 

Screenshot_2015-01-07-10-36-32-1

 

กำจัด Baidu ออกจากเครื่อง

หลังจากเข้าไปดูไฟล์ในเครื่อง ถ้าพบเจอโฟลเดอร์ baidu ก็ให้จัดการลบทิ้งไปได้เลย ซึ่งการกำจัดยังไม่ยุ่งยากเท่าบนพีซี โดยแตะค้างบนโฟลเดอร์เพื่อเลือก จากนั้นแตะปุ่ม ถังขยะ แล้วแตะปุ่ม ลบ 

 

baidu001

จากนั้นให้ไปถอนการติดตั้งแอพต้นเหตุออกไปจากเครื่องแบบไร้เยื่อใย ถ้าไม่รู้ว่าเป็นแอพไหน หลังจากลบโฟลเดอร์ baidu แล้ว ให้ลองเปิดใช้งานแอพต้องสงสัยดู จากนั้นไปที่ ไฟล์ส่วนตัว อีกครั้ง ถ้าพบโฟลเดอร์ baidu ที่เพิ่งลบไปแสดงว่าแอพนั้นแถม Baidu มาด้วยอย่างแน่นอน ให้ถอนการติดตั้งแอพนั้นทิ้งไปได้เลย

 

————————————————————————————————————————————–

แอพจอมแถมแบบนี้อาจมีอยู่ในเครื่องมากกว่า 1 แอพ คุณอาจจะต้องไล่ลบแอพตัวการออกให้หมดจึงจะสิ้นซาก ไม่เช่นนั้น Baidu ก็จะยังตามหลอกหลอนคุณไปเรื่อยๆ เมื่อลบโฟลเดอร์ไป Baidu ก็สร้างใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีที่สิ้นสุด 

————————————————————————————————————————————–

 

 

8 สิ่งสุดล้ำ เมื่อ iPhone 5/5s/5c อัพเดท iOS8 แล้วใช้ได้เหมือน iPhone 6/6plus

 
ios8-ip5-ip6-hero
 

สำหรับใครที่มี iPhone 5, iPhone 5s และ iPhone 5c อยู่ในมือ แต่ด้วยความอยากได้ หรือกิเลสบังตา พร้อมหาเหตุผลที่จะซื้อ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus ใหม่ โปรดฟังทางนี้ก่อน

 

เพราะอีกไม่ช้าในวันที่ 17 ก.ย. นี้ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายก็จะได้รับการอัพเดท iOS8 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการล่าสุด เช่นเดียวกับที่มาพร้อมใน iPhone รุ่นล่าสุด ลองไปดูกันก่อนว่าเมื่อเราอัพเดท iOS8 ไปแล้วจะมีฟีเจอร์ไหนที่ใช้งานได้ไม่ต่างกัน

 

1. ถ่ายภาพแบบ Time Lapse พร้อมฟิลเตอร์และฟังก์ชั่นแต่งภาพขั้นเทพ
ฟังก์ชั่นกล้องยังคงจัดเต็มได้อยู่ โดยเมื่อผู้ใช้ iPhone 5/5s/5c อัพเดทเป็น iOS8 จะทำให้กล้องสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Time Lapse หรือภาพวิดีโอแบบเร่งสปีดที่มักเอาไว้บันทึกภาพการเคลื่อนไหวของก้อนเมฆ หรือวิวทิวทัศน์ แบบสารคดีต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งเวลาถ่ายอัตโนมัติ แบบ 3 วินาที หรือ 10 วินาทีได้แล้ว เพิ่มความสะดวกในการถ่ายเซลฟีโดยเฉพาะ
ios8-ip5-ip6-01

 

ส่วนในแอพ Photo ก็ยังเพิ่มลูกเล่นการแต่งภาพได้แบบขั้นเทพ โดยเฉพาะการปรับแต่งแสงสีอัตโนมัติให้อย่างอัจฉริยะหรือจะปรับเองก็ทำได้ พร้อมด้วยฟิลเตอร์ให้เลือกมากยิ่งขึ้น

ios8-ip5-ip6-02

 

2. ระบบเดาคำตามประโยค และเพิ่มคีย์บอร์ดเสริมได้
ios8-ip5-ip6-10

 

เปิดใช้ระบบเดาคำได้แบบหายห่วงเสียที เพราะมาคราวนี้ Apple พัฒนาขึ้นมาก กับระบบเดาคำ ที่ไม่ใช่แค่เดาทีละคำ แต่เดาให้เป็นประโยคเลยล่ะ แค่พิมพ์คำแรก คำถัดมาที่ใกล้เคียงกับประโยคนั้นก็จะขึ้นมาให้เราเลือกทันที สะดวกขึ้นมาก และจากที่ลองเล่นเวอร์ชั่น Beta ขอบอกว่าเดาคำเป็นประโยคได้ดีเลยทีเดียว พูดเลย ประหยัดเวลาพิมพ์ไปเยอะ
นอกจากนี้ใครไม่พอใจกับคีย์บอร์ดมาตรฐานของ Apple ก็สามารถโหลดคีย์บอร์ดจากผู้พัฒนารายอื่นๆ มาติดตั้งเพิ่มเติมได้ คล้ายๆ กับของแอนดรอยด์ที่มีแอพคีย์บอร์ดให้ติดตั้งมากมาย
3. อินเตอร์เฟสใหม่ใช้ได้เหมือนกัน

ios8-ip5-ip6-03
อีกสิ่งที่เราจะใช้งานได้ไม่ต่างจาก iPhone 6/6 Plus ก็คือเรื่องของอินเตอร์เฟส ณ จุดนี้พูดเลยว่า iOS8 ชนะเลิศ ไม่ว่าจะเป็นการตอบกลับได้ทันทีจากทุกๆ การแจ้งเตือนบนแถบ Notification หรือจะเป็นการแสดงรายชื่อบุคคลที่โทรติดต่อกันล่าสุด รวมถึงรายชื่อจากรายการโปรด ในหน้ามัลติทาสกิ้ง และยังเชื่อมโยงประวัติการใช้งานกับทุกอุปกรณ์ iDevice ที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะใช้งานบน iPhone แล้วไปใช้ต่อบน iPad ก็อัพเดทล่าสุดถึงกัน

ios8-ip5-ip6-04

 

4. ส่งคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอผ่าน SMS

ios8-ip5-ip6-10

สำหรับการส่งข้อความ SMS มันจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะ Apple พัฒนาให้มันสามารถส่งแนบคลิปเสียงไปยังผู้รับได้อีกด้วย เมื่อจะฟังข้อความก็แค่ยกเครื่องแนบหูก็จะได้ยินคลิปเสียงทันที หรือแม้แต่วิดีโอก็สามารถถ่ายแล้วส่งคลิปวิดีโอแนบไปได้ทันที และเอาใจขาแชทด้วยการส่งข้อความเป็นกลุ่มได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถแนบพิกัดเพื่อแชร์ตำแหน่งไปให้เพื่อนๆ และยังเพิ่มความสามารถในการแนบรูปหรือวิดีโอได้ทีละหลายรูปในการส่งครั้งเดียว

 

5. ใช้ได้กับ Apple Watch พร้อมแอพ Health

ios8-ip5-ip6-09
สำหรับคนรักสุขภาพ แอพ Health จะเป็นศูนย์รวมมอนิเตอร์สุขภาพของเรา โดยจะเก็บสถิติการออกกำลังกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าวเดิน, การเผาผลาญแคลอรี, ระดับน้ำตาลในเลือด หรือแคลอรี จากแอพฟิตเนส และอุปกรณ์ต่างๆ ยิ่งมี Apple Watch ที่กำลังจะเปิดตัวด้วย ก็รองรับการใช้งานร่วมกับ iPhone 5/5s/5c ด้วยเช่นกัน ส่วนบารอมิเตอร์ที่ใช้วัดความกดอากาศเวลาไปปีนเขา เดินป่า ที่มีเพิ่มขึ้นมาอีกแค่ 1 เซนเซอร์ บน iPhone 6/6 Plus นั้น ก็ไม่น่าจะจำเป็นอะไรมาก ลองถามตัวเองดูว่าปีๆ นึงเคยปีนเขาสักกี่ครั้ง

ios8-ip5-ip6-11

 

6. Handoff เชื่อมโยงกับทุกอุปกรณ์ของ Apple

ios8-ip5-ip6-06
สำหรับสาวก Apple ที่มีทั้ง iPhone, iPad, Mac (Yosemite) ครบสูตร จะสามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้การใช้งานที่ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว เช่นกำลังพิมพ์อีเมล์บน iPhone อยู่ เมื่อเปิดแอพอีเมล์บนเครื่อง Mac ก็จะมีอีเมล์ฉบับนั้นให้เขียนต่อได้ โดยทุกเครื่องจะผูกด้วยแอคเคาท์ iCloud เดียวกันนั่นเอง โดยฟีเจอร์นี้จะรองรับกับแอพ Safari, Pages, Numbers, Keynote, Maps, Messages, Reminders, Calendar และ Contacts

ios8-ip5-ip6-07

เท่านั้นยังไม่พอฟีเจอร์นี้ยังทำให้ iPad และเครื่อง Mac โทรออก และรับสายได้ โดยจะต้องเชื่อมต่อในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน เมื่อสายเข้า แล้วเราเก็บ iPhone ไว้ในกระเป๋า แต่กำลังทำงานอยู่บนเครื่อง Mac ก็สามารถรับสายจากการแจ้งบนเครื่อง Mac ได้ทันที หรือจะใช้โทรออกก็ได้ เห็นมั้ยว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะ

 

7. ซื้อแอพ หนัง เพลง แล้วแบ่งปันได้ทั้งครอบครัว

ios8-ip5-ip6-08
กลยุทธนี้พี่ยอม เมื่อ Apple ใจป้ำ ยอมให้แบ่งปันแอพ หนัง เพลง อีบุ๊ก ให้คนสนิทในครอบครัวได้ฟรี คือซื้อคนเดียว สามารถแชร์ให้คนอื่นได้อีก 6 คน เท่านั้นยังไม่พอใครมีลูกมีหลานที่ยังไม่พร้อมมีบัตรเครดิต ก็สามารถอนุญาติให้ลูกหลานซื้อแอพผ่านแอคเคาท์ตัวเองได้ โดยที่เขาไม่ต้องมี Apple ID ที่สำคัญคือสามารถควบคุมการซื้อแอพได้ชัวร์ เพราะทุกครั้งที่ใครจะโหลด จะต้องผ่านการอนุมัติจากเราก่อนทุกครั้ง นอกจากนี้ก็ยังสามารถแชร์รูป แชร์พิกัด และปฏิทินนัดหมายร่วมกันได้

 

8. iCloud Drive เลิกพกทรัมไดร์ฟไปได้เลย

ios8-ip5-ip6-09
ใครใช้ Dropbox คงเข้าใจดีอยู่แล้ว เพราะ iCloud Drive ก็มีคุณสมบัติคล้ายๆ กันที่ให้เราเก็บไฟล์ต่างๆ เอาไว้บนคลาวด์ได้ นอกจากนี้ยังรองรับกับไฟล์ต่างๆ ได้มาขึ้น เช่น ไฟล์ PDF, Page, Numbers, Keynote, รูปภาพ, เพลง, วิดีโอ โดยทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ ทั้ง iPhone, iPad, iPod Touch, Mac รวมถึง Windows 7 ขึ้นไป ดังนั้นไม่ว่าจะแก้ไขไฟล์ที่เครื่องไหน เราก็จะได้ไฟล์อัพเดทล่าสุดเหมือนกันหมด หรือหากมีใครแก้ไขเอกสารอยู่พร้อมกัน เราก็จะเห็นไปด้วย

 

อุปกรณ์ที่รองรับ iOS8
ios8-ip5-ip6-14

 

เห็นมั้ยล่ะครับว่าฟีเจอร์ไฮไลต์หลักๆ ของ iOS8 ก็สามารถใช้งานได้สมบูรณ์เท่ากับ iPhone 6/6plus ได้ไม่แพ้กันเลย ฉะนั้นลองคิดกันดูดีๆ ก่อนนะครับว่าคุณจำเป็นแค่ไหนในการใช้ฟีเจอร์ใหม่ที่มากกว่าเพียงเล็กน้อย กับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 2 หมื่นกว่าบาท และที่สำคัญบางคนอาจจะยังผ่อน iPhone 5S ไม่หมดด้วยช้ำ ฉะนั้นจึงอยากจะย้ำให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะน้องๆ หนูๆ นักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่คนทำงาน ให้ใช้สติก่อนใช้สตางค์กันนะครับ ด้วยความปรารถนาดี จาก Oopsmobile ที่อยากให้ทุกคนใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด โดยไม่ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี…

 
 

สรุปรวบตึง iPhone 6, iPhone 6 Plus และ Apple Watch

 

iPhon6-watch

 

และแล้วข่าวลือ ข่าวหลุด ทั้งหลาย ก็กลายเป็นจริงไปกว่า 99% กับการเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รวมถึง Wearable Device ตัวแรกของ Apple ที่ชื่ออย่างเป็นทางการอาจจะผิดคาดไปเล็กน้อย กับ Apple Watch โดยรายละเอียดทั้งหมดนี้ เราได้สรุปรวบตึงให้เพื่อนๆ เอาไว้แล้ว ไปอ่านกันได้เลยครับ

 

เริ่มต้นการถ่ายทอดสดผ่านเว็บ ปีนี้ต้องบอกว่าล่มไม่เป็นท่า ด้วยสัญญาณขัดข้องจนไม่สามารถชมได้ต่อเนื่อง จนผู้คนทั่วโลกบ่นกันเต็มไทม์ไลน์ ยังดีที่มีเว็บ Live Blog ต่างๆ ไว้สำรอง และ Apple เองก็มี Live Feed เฉพาะภาพนิ่งและข้อความเป็นครั้งแรกเอาไว้ด้วย ก็พอถูๆ ไถๆ กันไปก่อน

 

IMG_0228

 

เมื่อ Tim Cook ขึ้นสู่เวที ก็ได้พูดถึงการเปิดตัว เครื่อง Macintosh ที่เป็นสุดยอดนวัตกรรม ครั้งแรก และยิ่งใหญ่ ซึ่งเคยเปิดตัวที่นี่ และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมาแล้วกว่า 30 ปี และวันนี้พวกเราจะมาสร้างประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง

 

bfd0fe1c-1b7a-4658-a63b-e8ec094b0130

และก็สมกับที่รอคอยกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

DSC_4451

 

โดย iPhone 6 มาพร้อมหน้าจอ 4.7 นิ้ว Retina Display ความละเอียด 1334×750 พิกเซล ความหนาแน่นต่อจุด 326 ppi ส่วน iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล ความหนาแน่นต่อจุด 401 ppi

Apple_Oct_2014_101

Apple_Oct_2014_105

 

เปรียบเทียบความหนาของตัวเครื่อง iPhone 5s หนา 7.6 มม. , iPhone 6 บางสุดเพียง 6.9 มม. ส่วน iPhone 6 Plus บางเพียง 7.1 มม.

Apple_Oct_2014_107

 

One-Handed รูดขึ้นลงซ้ายขวาในแอพ safari และ Mail เพื่อเลื่อนตำแหน่งเวลาจะพิมพ์ URL หรือข้อความต่างๆ ด้วยมือเดียว

Apple_Oct_2014_111

 
ซีพียู A8 64 บิตเจน 2 มีขนาดเล็กกว่า A7 อยู่ 13% ส่วนความเร็ว เหนือกว่า 50 เท่า จาก iPhone รุ่นแรก

Apple_Oct_2014_121

 

ส่วน GPU หน่วยประมวลผลด้านกราฟิก ก็แรงขึ้นถึง 84 เท่า จาก iPhone Original รุ่นแรก

Apple_Oct_2014_123

 

หน้า Home หมุนหน้าจอได้ในแนวนอน ซึ่งรองรับเฉพาะบน iPhone 6 Plus เท่านั้น จึงทำให้แอพ Mail สามารถเปิดอ่านอีเมล์ได้ง่ายขึ้น ในหน้าเดียว เหมือนการใช้งานบน iPad

30c89059-288e-40c2-9af8-950d1c46794cc

 

เพิ่ม sensor ใหม่คือ Barometer วัดความกดอากาศ ทำให้บอกระดับความสูงได้เวลาเดินป่าเขา
DSC_4577

 

 
ความอึดแบตเตอรี่เมื่อเทียบกันระหว่าง iPhone 5s/6/6plus มีทั้งเท่ากันและดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบการทำงานในแต่ละด้าน

f1410283510

 

ปัจจุบันนี้มีแอพมากกว่า 1.3 ล้านแอพแล้วนะจ๊ะ

DSC_4484

 

ในส่วนของการสื่อสาร สามารถรองรับระบบ 4G LTE ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 150 Mbps และยังรองรับกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่ายในประเทศจีน

Apple_Oct_2014_147

 

นอกจากนี้ยังรองรับการโทรผ่านเน็ต 4G LTE ด้วยฟังก์ชั่น VoLTE หรือ Voice Over LTE แต่ยังไม่รองรับกับเครือข่ายในเมืองไทย ต้องรอเปิดประมูล 4G กันก่อน

DSC_4591

 

ส่วน Wi-Fi รองรับมาตรฐาน 802.11ac เรียบร้อยแล้ว เร็วขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า ซึ่งสามารถเชื่อมต่อด้วยความเร็วสูงสุดกว่า 500 Mbit/s ใกล้เคียง LAN Gigabit
DSC_4596

 
กล้องก็ยังคงความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซล iSight รูรับแสงกว้าง F2.2 เท่าเดิม แต่พัฒนาให้ระบบออโต้โฟกัสแบบ phase detection ซึ่งเร็วและแม่นยำขึ้นเหมือน DSLR นอกจากนี้ยังโฟกัสใบหน้าหรือ Face Detection ได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น และรองรับการถ่ายโหมดพาโนรามาด้วยความละเอียดถึง 43 ล้านพิกเซล

f1410282535

 

มาพร้อมระบบลดภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilizer) ขยับเลนส์ชดเชยการสั่นที่ชิ้นเลนส์ เหมือนกล้องดิจิตอลบางรุ่น แต่มีเฉพาะบน iPhone 6 Plus เท่านั้น

f1410283998

 
กล้องหน้า FaceTime HD ตรวจจับใบหน้าแบบ Face Detection ได้เร็วขึ้น รวมถึง blink detection และ smile detection ด้วย ช่วยให้ทุกใบหน้าคมชัดเวลาถ่ายหมู่แบบ Selfie พร้อมด้วยโหมด burst selfie สำหรับถ่ายเซลฟีแบบรัวต่อเนื่อง 10 ช็อตต่อวินาที และที่สำคัญในแอพ Camera มาพร้อมระบบตั้งเวลาถ่ายอัตโนมัติได้แล้วนะครับ เลือกได้ 3 วินาที หรือ 10 วินาที
DSC_4689

DSC_4692

 
ถ่ายวิดีโอ 1080p ที่ 30fps และ 60fps และโหมด SLO-Mo ที่ 240fps เพิ่มขึ้นจาก 5s 120fps

f1410284090

 

มาถึง ระบบปฏิบัติการ iOS 8 พร้อมปล่อยตัวเต็ม 17 กันยายนนี้ ตามรายชื่อรุ่นต่างๆ ในภาพ

Apple_Oct_2014_199

 

ราคาวางจำหน่าย iPhone 6 Plus เริ่มต้นที่ $299 เหรียญ กับขนาด 16 GB แล้วกระโดดไป 64GB และขนาดใหม่ 128GB ไปเลย ราคานี้ติดสัญญา 2 ปี ด้วยนะจะ ราคาเครื่องเปล่าคงแพงพอตัว

Apple_Oct_2014_197

 

ราคา iPhone 6 เริ่มที่ $199 เหรียญ ติดสัญญา 2 ปี เช่นเดียวกัน อันนี้ดูแล้วราคาเท่าเดิม ค่อยพอรับได้หน่อย

Apple_Oct_2014_194

 

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เปิดจองวันที่ 12 ก.ย. นี้  และจะวางจำหน่าย 19 ก.ย. ในสหรัฐและอีก 8 ประเทศแรก ซึ่งไม่มีประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น แต่คาดว่าจะวางจำหน่ายในไทยช่วงกลุ่มประเทศที่ 2 ราวเดือนตุลาคม

f1410284478

f1410284361

 

ยังไม่จบ Tim Cook กลับขึ้นสู่เวทีเพื่อนำเข้าสู่ฟีเจอร์ที่ทุกคนรอคอยกับระบบ Payment เตรียมบอกลากระเป๋าตังค์ คนอเมริกาใช้บัตรเครดิตรูดปรืดๆ สูงถึง 83% ลุงคุกจะจัดการด้วยอะไรดูรูปถัดไป

f1410284710

 

ระบบนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Apple Pay

f1410284882

 
หมายเลขบัตรจะไม่ถูกเก็บหรือใช้ร่วมกัน สามารถเพิ่มบัตรด้วยการถ่ายจากกล้อง iSight กรณี iPhone หายหรือถูกขโมยสามารถระงับการชำระเงินทั้งหมดได้ ส่วนหมายเลขบัตรไม่ต้องยกเลิกเพราะไม่ได้เก็บไว้ในเครื่องนั่นเอง

f1410285056

 

เวลาจะชำระเงินก็เพียงแต่นำ iPhone แตะที่แท่นตัดเงิน (คล้ายกับบัตรแรบบิต ของไฟฟ้า BTS) แล้วสแกนลายนิ้วมือผ่าน Touch ID บนปุ่ม Home เพื่อยืนยัน โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอหรือเข้าสู่แอพแต่อย่างใด เมื่อระบบตัดเงินเรียบร้อยแล้ว เครื่องจะสั่นและมีเสียงเตือนขึ้นมา

Apple_Oct_2014_222

 

คอนเฟิร์ม iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อม NFC

Apple_Oct_2014_227

 
Apple Pay มีบัตรผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่เข้าร่วมแล้วคือ American Express, Visa และ Master Card ซึ่งครอบคลุมผู้ถือบัตรเข้าไปกว่า 83% แล้ว และมีเคาน์เตอร์ Contactless payment รองรับตามร้านค้าต่างๆ กว่า 220,000 จุด ในสหรัฐอเมริกา โดยจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนประเทศอื่นๆ ยังไม่มีรายละเอียด

Apple Pay-01

 

นอกจากนี้ยังใช้จ่ายเงินผ่านแอพต่างๆ สำหรับขาช้อปออนไลน์อีกด้วย เช่น Groupon, Starbucks, UBER เป็นต้น

Apple Pay-02

 

แต่น แตน แต้น… ในที่สุดก็มาถึงไฮไลต์อีกตัวหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ Apple Watch สรุปไม่ใช่ชื่อ iWatch อย่างที่ลือกันมานาน ซึ่งวัสดุดูหรูหราพมีเมี่ยมมากๆ ทำจากสแตนเลส นาฬิกาที่ทิมคุกกล้าพูดว่าแม่นเวอร์ หากจะเพี้ยนก็แค่ 50 มิลลิวินาทีเท่านั้น

f1410285559

 

มีสีทอง 18 K ให้เลือกด้วย และมาพร้อมเซ็นเซอร์ถึง 4 จุด ที่ด้านหลัง

f1410285606

 

ควบคุมการใช้งานของ นาฬิกาด้วยกลไกพิเศษ ผ่านปุ่มหมุนที่เรียกว่า digital crown อารมณ์ให้ความรู้สึกเหมือนใช้นาฬิกาแบบเข็ม คลาสิกดี

f1410285849

 

หมุนที่ปุ่ม digital crown เพื่อซูมเข้า ซูมออกได้

f1410285880

 

Digital crown ยังทำหน้าที่เป็นปุ่ม Home ส่วนปุ่มติดๆกันด้านล่างคือ Digital Touch สำหรับแสดงรายชื่อที่เราสามารถติดต่อ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น และแชร์ข้อมูลการเต้นของหัวใจ

f1410286105

 

S1 processor ชิปประมวลผลที่ออกแบบเอง รวมทั้งเซ็นเซอร์ตรวจสอบการเต้นของหัวใจ, อินฟาเรด และ light LEDs

f1410286270

 

Taptic Engine เทคโนโลยีที่ทำให้ระบบสัมผัส, การแสดงผล และการได้ยินเป็นไปอย่างลงตัว
f1410286225

 

มีสายนาฬิกาให้เลือกเปลี่ยนถึง 6 แบบ ทั้งหนัง และสแตนเลส หน้าปัดเปลี่ยนได้หลายดีไซน์

f1410286544

 
Apple watch มีตัวเรือน 3 แบบคือ
Apple Watch ธรรมดา เป็นสเตนเลส
Apple Watch Sport ตัวเรือนอลูมิเนียมแบบเดียวกับ iPhone ซึ่งเบากว่า
Apple Watch Edition ตัวเรือนโลหะผสมทอง 18K ดูหรูหรา

แต่ละแบบจะมี 2 ขนาด เล็กและใหญ่ ขนาดเล็กสำหรับผู้หญิง เด็ก หรือคนที่ข้อมือเล็ก ส่วนขนาดใหญ่ก็เหมาะสำหรับผู้ชาย
f1410286479

 

แตะแอพพลิเคชั่นเลื่อนขึ้นลงซ้ายขวา หรือหมุนปุ่ม crown ซูมเข้าออก สามารถกดปุ่มลงไปเพื่อกลับหน้า Home ฟีเจอร์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ถือว่าแม่นยำ อยากรู้ว่าเราอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ต้องลอง แต่ไม่ใช่แค่โลกเท่านั้น ดวงจันทร์ก็รู้

f1410286757

 

เมื่อมีรายการแจ้งเตือนสามารถตอบกลับด้วยข้อความเสียง หรือส่งเป็นอีโมจิก็ได้ ส่วนวิธีใช้ Siri บน Apple Watch ให้กดปุ่ม digital crown ค้างไว้แล้วพูด

f1410287061

 

Apple Maps แสดงเส้นทางเท้าและรถยนต์ชัดเจน พร้อมลูกศรบอกทิศทางในการนำทาง

f1410287269

 

Digital Touch ด้านล่างปุ่ม digital crown จะแสดงรายชื่อที่ติดต่อได้ เพื่อแตะโทรออกหรือส่งข้อความ

f1410287301

 
นอกจากนี้ยังสามารถวาดรูปบนหน้าจอเพื่อส่งแทนข้อความไปให้เพื่อนที่ใช้ Apple Watch ด้วยกัน, ใช้เป็น Walkie Talkie, แตะเพื่อส่งข้อความการแจ้งเตือนเบาๆ ให้กับเพื่อนหรือคนรัก ว่าเรากำลังคิดถึงอยู่ และแตะ 2 ครั้งบนหน้าจอเพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วส่งต่อให้เพื่อนหรือคนพิเศษเพื่อบอกความรู้สึกได้อีกด้วย
apple-watch-sketch

 

มีการแจ้งเตือนจากแอพอื่นๆ ใน iPhone มาที่ Apple Watch เช่น Facebook, Twitter นอกจากนี้ยังเปิด API ให้นักพัฒนาสามารถเขียนแอพมาแจ้งเตื่อนบน Apple Watch ได้อีกด้วย ซึ่งเรียกว่า WatchKit

f1410287448

f1410287495

 

รวบรวมสถิติการออกกำลังกายที่มีการเคลือนไหวตั้งแต่เดินเร็วไปจนถึงวิ่ง แนะนำว่าควรให้ถึง 30 นาทีต่อวัน โดยสามารถตั้งเป้าหมายได้ 3 ภารกิจ Goal to sit less, move more และ get some exercise.

f1410287823

 

Apple Watch มาพร้อมระบบชาร์จไร้สายและเป็นแม่เหล็กแบบเดียวกับ Magsafe ตัวชาร์จของเครื่องแมค จึงทำให้ตัวเครื่องสามารถกันน้ำได้แต่ไม่ถึงขั้นจุ่มน้ำได้นะ เพราะไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อใดๆ ส่วนแบตเตอรี่ยังไม่เปิดเผยว่ามีความจุเท่าไร ใช้งานได้นานแค่ไหน

AppleEvent_0616

 

ทั้งนี้ มันยังรองรับการใช้งานร่วมกับระบบจ่ายเงิน Apple Pay อีกด้วย

DSC_5410

 
Apple Watch สามารถทำงานกับ iPhone ได้ทั้งหมด 5 รุ่น ตั้งแต่ iPhone 5 ขึ้นไป

f1410288053

 

Apple Watch เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ $349 ต้นปี 2015 ถึงจะได้ใช้กันนะครับ แต่รับรองว่าคุ้มค่าการรอคอย

f1410288105

 

ปิดท้ายงานด้วยมินิคอนเสิร์ต เปิดอัลบั้มใหม่ของวง U2 และในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เตรียมเปิด iTunes รับอัลบั้มฟรีวง U2 ที่ iTunes music library, iTunes Radio และ Beats Music

f1410288364

Apple_Oct_2014_551 apple-one-more-thing

 

ทั้งหมดที่ทุกท่านอ่านมานี้ ได้อัพเดทแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนให้สมบูรณ์และถูกต้องขึ้นแล้วนะครับ หลังจากเวอร์ชั่นแรกที่ได้โพสต์บทความขึ้นไป ซึ่งมีหลายประเด็นที่ขาดหายไป ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ

 

เครดิตภาพ จาก : The Verge, Thenextweb

 

 

รวบตึง IFA 2014 ปีแห่ง Wearable Device อย่างแท้จริง

 
Smartwatch01
 
ถึงแม้ว่าทีมงาน Oopsmobile จะยังไม่มีโอกาสได้ไปตะลุยงาน IFA 2014 งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่ทุกปีก็จะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่จากแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก จนทำให้กระเป๋าสตางค์ของใครหลายคนแฟ่บกันอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามทีมงานก็จะมารวบตึง เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อัพเดทความคืบหน้ากัน

 
ซึ่งพระเอกของปีนี้คงหนีไม่พ้นอุปกรณ์สวมใส่อย่าง Wearable Device ที่ตอนนี้เกือบทุกแบรนด์ต่างออกมาเปิดตัว Smart Watch และ Sport Band กันอย่างคึกคัก เอาเป็นว่าเรามาไล่เรียงดูกันทีละแบรนด์ ตามตัวอักษรเลยละกัน

 

ASUS ZenWatch : Android Wear

ASUS-ZenWatch-02

ถือเป็น Smart Watch ตัวแรกของ ASUS โดยเลือกใช้แพลตฟอร์ม Android Wear โดดเด่นด้วยหน้าปัดที่โค้ง 2.5D (เหมือน Gear S) ขนาด 1.63 นิ้ว (320×320 พิกเซล) AMOLED แต่หน้าจอยังคงเป็นสีเหลี่ยมปกติ เหมือนกับ Smart Watch ทั่วไป มาพร้อมสายหนังซึ่งทำให้ดูกลมกลืนเหมือนใส่นาฬิกาข้อมือจริงๆ พร้อมตัวล็อคที่สามารถปลดออกได้ทันที ในส่วนของอินเตอร์เฟส ASUS ZenWatch มาพร้อม ZenUI ที่ช่วยให้การใช้งานร่วมกับ ZenFone หรือสมาร์ทโฟนของ ASUS ได้อย่างขั้นกว่ามากยิ่งขึ้น

ZenWatch01

 เครดิตภาพ : gsmarena 

 
ฟีเจอร์หลักๆ ของ ZenWatch นั้น จะมาพร้อมการใช้งานเป็นรีโมทกล้อง, ใช้ตามหาโทรศัพท์, ควบคุม Presentation, มีเซนเซอร์ตรวจจับทิศทาง สามารถนับก้าวเดิน และวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ โดยมีแอพ ZenUI Wellness ไว้รองรับการใช้งาน ส่วนฟีเจอร์พื้นฐานที่ Android Wear มีอยู่ก็สามารถใช้งานได้ เช่น การค้นหาสถานที่ ดูพยากรณ์อากาศด้วย Google Now, ใช้รับสายเข้าเมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เป็นต้น และด้วยการใช้ Android Wear เป็นแพลตฟอร์ม จึงสามารถใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟน Android 4.3 ขึ้นไปได้ทุกยี่ห้อ สนนราคาประมาณ 199 ยูโร หรือประมาณ 8,300 บาท โดยจะวางจำหน่ายในปลายปีนี้

 

 

สเปกคราวๆของ ASUS Zen Watch

• หน้าจอ : 1.63 นิ้ว AMOLED ความละเอียด 320 x 320 (278ppi), Curved 2.5D Gorilla Glass 3
• ขนาดตัวเครื่อง : 50.6 x 39.8 x 7.9-9.4 มม.
• น้ำหนัก : 50 กรัม เฉพาะบอดี้, น้ำหนักสายอีก 25 กรัม
• ชิปเซ็ต : Snapdragon 400 1.2GHz, แรม 512MB
• ระบบปฏิบัติการ : Android Wear
• การเชื่อมต่อ : Bluetooth 4.0, เชื่อมต่อพอร์ต Micro USB ผ่าน Cradle หรือแท่นครอบ
• หน่วยความจำ : 4GB built-in
• แบตเตอรี่ : 1.4Wh
• อื่น : มาตรฐานการกันน้ำ IP55, ไมโครโฟนในตัว

 

LG G Watch R : Smart Watch หน้าปัดกลม

LG_G_WATCH_R1

LG ก็มิได้น้อยหน้า กับการเปิดตัว Smart Watch ที่มาพร้อมหน้าปัดวงกลม ซึ่งเป็นการใช้หน้าจอแสดงผลแบบใหม่ที่เรียกว่า P-OLED (Plastic OLED) ขนาด 1.3 นิ้ว (320×320 พิกเซล) ที่สามารถแสดงผลได้เต็มพื้นที่วงกลมตามหน้าปัด ซึ่งถือเป็นการปลัฟคู่แข่งอย่าง Moto 360 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งจอแสดงผลดันไม่เป็นวงกลมตามหน้าปัดทำให้หน้าจอแหว่งไปนิดนึง

LG_G_WATCH_R_031

 

จริงๆ แล้ว LG G Watch R ได้แถลงข่าวเปิดตัวไปก่อนหน้างาน IFA 2014 ราว 1 อาทิตย์ ซึ่งในงานก็จะมีตัวต้นแบบของหน้าจอ P-OLED บนแผงวงจรมาให้ดูอีกด้วย จากภาพในงานแถลงข่าว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าจอที่เป็นวงกลม และแสดงผลได้เหมือนนาฬิกาจริงๆ พร้อมดีไซน์เส้นสายที่ดูหรูหรา พรีเมี่ยมมากๆ LG G Watch R จะวางจำหน่ายภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนราคาจะอยู่ที่ 299 ยูโร หรือประมาณ 12,500 บาท ลองชมคลิป Hand On จาก Android Central กันดูนะครับ
[youtube link=”http://youtu.be/4x62o342efY” width=”590″ height=”315″]
LG_G_WATCH_1

สเปกคราวๆ ของ LG G Watch R
• ชิปเซ็ต : 1.2 GHz Qualcomm Snapdragon 400
• หน้าจอ : 1.3 นิ้ว P-OLED Display (320 x 320)
• หน่วยความจำ : 4GB eMMC
• แรม : 512 MB
• แบตเตอรี่ : 410 mAh
• ระบบปฏิบัติการ : Android Wear (รองรับกับสมาร์ทโฟน ที่รัน Android 4.3 ขึ้นไป)
• เซนเซอร์ : 9-Axis (Gyro/ Accelerometer/ Compass), Barometer, PPG (Heart Rate Monitor)
• สี : ดำ
• อื่นๆ : กันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67

 

Intel : MICA Smart bracelet กำไรแฟชั่น อัจฉริยะ

 

Collier_Schorr_Opening_Ceremony_Shot2

 

อินเทล ผู้ผลิตชิปหน่วยประมวลผล ก็ขอมาชิมลาง Wearable Device กับเขาบ้าง ด้วยการเปิดตัว Smart bracelet ที่เป็นกำไรอัจฉริยะ แต่มาพร้อมดีไซน์สุดชิค เพราะได้ร่วมมือกับ MICA (My Intelligent Communication Accessory) ซึ่งได้ Opening Ceremony แบรนด์เสื่อผ้าและเครื่องประดับแฟชั่นระดับโลก มาเป็นผู้ออกแบบให้

 

โดยไอเทมดังกล่าวได้ถูกออกแบบมา 2 สี แต่หลายสไตล์ด้วยกัน เช่น สีขาว white watersnake skin ที่ประดับในสไตล์ตาเสือจากแอฟริกาใต้ หรือหินดำ obsidian จากรัสเซีย ส่วนสีดำ black watersnake skin ก็จะประดับด้วย ไข่มุกจากจีน หรือหินสลักจากมาดากัสกา โดยนอกจากจะเป็น Accessory สุดชิคแล้ว มันยังมาพร้อมฟีเจอร์การแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งจาก SMS, นัดหมายการประชุม และการแจ้งเตือนอื่นๆ ทั่วไป รวมถึงรองรับการชาร์จไร้สายได้อีกด้วย หน้าจอทัสกรีนใช้กระจกแซฟไฟร์ที่โค้งรับกับข้อมือ ทนทานต่อรายขีดข่วนเป็นอย่างดี

Collier_Schorr_Opening_Ceremony_Shot3

 

ส่วนสเปก และรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่ได้เปิดเผยแต่อย่างใด โดย MICA Smart bracelet จะเปิดตัวสู่สาธารณะในงาน Opening Ceremony Spring/Summer 2015 fashion show ประมาณช่วงซัมเมอร์ของปี 2014 นี้

 

Samsung : Gear S Smart Watch ที่โทรออกได้

 
Gear S_2P_LR

 

เรียกว่าออกตัวแรง ล้ำหน้าก่อนใคร กับ Gear S ที่เป็น Smart Watch ใส่ซิม 3G ไว้เล่นเน็ตและโทรออกได้ ซึ่งเราได้เคยนำเสนอข่าวตอนเปิดตัวไปแล้ว เรียกว่าไม่ง้อการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ก็สามารถใช้งานในตัวเองได้ ทั้งการโหลดแอพต่างๆ เล่นโซเชียล โทรออก รับสาย และมีคีย์บอร์ดในการพิมพ์ข้อความได้เลย ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกับขนาด 2 นิ้ว Super AMOLED แถมยังโค้งรับกับข้อมืออีกด้วย ลองไปชมความสามารถใหม่ๆ ของ Gear S ในคลิปล่าสุดจากซัมซุงกันได้เลย
[youtube link=”http://youtu.be/Ji6eoTrjtng” width=”590″ height=”315″]
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มแอพเพื่อสุขภาพอย่าง Nike+ Running ให้คนรักการวิ่ง ได้สนุกและท้าทายมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยแผนที่ Here Map ที่สามารถนำทางสำหรับถนนคนเดินได้อีกด้วย ในส่วนของการออกแบบก็ยังคงเน้นความหรูหราทันสมัยในลุคพรีเมี่ยม และมีให้เลือก 2 สี คือ ขาว, ดำ

 

Specifications Gear S
• หน้าจอ 2.0 นิ้ว Super AMOLED (360 x 480)
• หน่วยประมาณผล Dual core 1.0 GHz
• แรม 512 MB
• หน่วยความจำภายใน 4GB
• ระบบปฏิบัติการ Tizen based wearable platform
• รองรับซิมในตัว 900/2100, 850/1900 (3G), 900/1800, 850/1900 (2G)
• ใช้โทรออก รับสายได้
• ไม่มีกล้อง
• เล่นเพลง ดูภาพในแกลอรี่ได้
• กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
• การเชื่อมต่อ WiFi: 802.11 b/g/n, A-GPS/Glonass, Bluetooth®: 4.1, USB 2.0
• เซนเซอร์ Accelerometer, Gyroscope, Compass, Heart Rate, Ambient Light, UV, Barometer
• แบตเตอรี่ 300 mAh ใช้ได้ตามปกติประมาณ 2 วัน
• มี 2 สี ขาว, ดำ

 

SONY : SmartWatch 3 , SmartBand Talk

Sony-smartwatch3-01

โซนี่ ก็ถือเป็นเจ้าแรกๆ เลยที่มี SmartWatch ก่อนซัมซุงเสียอีก แต่อาจจะไม่ค่อยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเท่าไร โซนี่ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะนี่ถือเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว กับ SmartWatch 3 และเป็นครั้งแรกที่นำระบบปฏิบัติการ Android Wear เข้ามาใช้งาน และยังต่อยอดในส่วนของ SmartBand มาเป็น SmartBand Talk ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง และมีหน้าจอเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

 

Smart Watch 3 มาพร้อมหน้าจอ 1.6 นิ้ว TFT LCD ความละเอียด 320×320 พิกเซล ซีพียู Quad Core 1.2 GHz มีพื้นที่หน่วยความจำมาให้ 4 GB แรม 512 MB แบตเตอรี่ 420 mAh สามารถรันแอพพร้อมกันได้หลายตัว เช่น ฟังเพลง ไปพร้อมกับตรวจจับการเล่นฟิตเนส โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนสายให้ออกไปในแนวสปอร์ตมากขึ้น ที่เป็นยางซิลิโคน สามารถถอดเปลี่ยนสีต่างๆ ได้ง่าย ในส่วนของการใช้งานสามารถโหลดเพลงในเครื่องได้ 4GB ใช้ฟังเพลงพร้อมกับออกกำลังกายไปด้วยกันได้ โดยมีระบบ GPS เพื่อเก็บบันทึกการเดินทางได้อีกด้วย และยังสามารถใช้เป็นรีโมททีวี ที่สามารถดูรายละเอียดของรายการที่กำลังจะมาได้อีกด้วย สนนราคา 229 ยูโร หรือประมาณ 9,500 บาท ส่วนชุดสายหากต้องการเปลี่ยนสีอื่นๆ เพิ่มเติม อยู่ที่ 25 ยูโร ประมาณ 1,000 บาท

 

 

SmartBand Talk ถือเป็นสปอร์ตแบนด์ ที่ต่อยอดขึ้นมา โดยการเพิ่มหน้าจอ e-ink ขนาด 1.4 นิ้ว เพื่อแสดงผลข้อมูลการออกกำลังกายโดยเฉพาะ และยังเพิ่มเซนเซอร์ Altimeter เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง เช่นการเดินขึ้นลงบรรได หรือขึ้นลงลิฟ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งงานด้วยเสียงเพื่อควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานได้อีกด้วย เจ้าสปอร์ตแบนด์นี้หน้าที่หลักๆ ของมันก็คือจะคอยตรวจจับกิจกรรมต่างๆ ของเราทั้งแต่การเดิน วิ่งออกกำลังกาย การนอนว่าหลับสนิทแค่ไหน โดยมีแอพ Lifelog ในการแสดงผลข้อมูล SmartBand Talk สามารถใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 3 วัน ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 70 mAh สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ทั้ง 2 รุ่น ตามมาตรฐาน IP68 สนนราคา 159 ยูโร หรือประมาณ 6,600 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นจะวางจำหน่ายในฤดูใบไม้ร่วมของปีนี้

 
เรียกได้ว่าหลังจากที่ Android ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android Wear ไปเมื่อกลางปี จึงเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ได้สร้างสรรค์ Smart Watch เป็นของตัวเองได้ ซึ่งแต่ละเจ้าก็พยายามดีไซน์ทั้งหน้าตาและฟีเจอร์การใช้งานให้แตกต่าง แต่สิ่งหลักที่ยังคงเหมือนกันคือการรันบนระบบปฏิบัติการ Android Wear จะมีแต่ของซัมซุงที่ Gear S ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเอง จึงทำให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นได้นอกจากซัมซุงเองเท่านั้น และคงจะสนุกมากขึ้นหากว่าในวันที่ 9 ก.ย. นี้ แอปเปิ้ลจะเปิดตัว Smart Watch มาลงแข่งกับเขาด้วย ตามกระแสข่าวลือกันหนาหู แล้วมารอลุ้นที่นี่ด้วยกันนะครับ

 
 

ชี้เป้า Zenfone 4 เครื่องศูนย์ ยังมีขาย ณ ร้านตู้ ห้างน้อมจิตต์

 

asus-zenfone-4-2

 

วันนี้ผมได้มีโอกาสไปเดินสำรวจตลาดร้านมือถือแต่ละร้านดูว่ากระแสของ ASUS Zenfone 4 เป็นอย่างไรบ้าง โดยเริ่มจากร้านตามช็อปอย่าง TG Fone, Jaymart, Powermall, Telewiz ในห้างเดอะมอลล์บางกะปิ ปรากฏว่าทุกร้านไม่มี ASUS Zenfone 4 ขายเลย ทุกร้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ของขาดมานานหลายสัปดาห์แล้ว และไม่รู้กำหนดว่าจะมาเมื่อไร

 

ผมเลยลองเดินไปห้างตรงข้ามนั่นคือ ห้างน้อมจิตต์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านตู้ขายมือถือที่ใหญ่พอสมควรในย่านบางกะปิ

 

พอเดินเข้าไปยังไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงเรียกลูกค้าทันที
คนขาย : พี่ๆ สนใจรุ่นไหนถามได้ครับ…
ผม : สิ้นเสียงนั้นผมก็หันไป แล้วเดินเข้าไปถามดูว่ามี Zenfone 4 มั้ยครับ
คนขาย : มีครับ
ผม : ตาเป็นประกายวิ้งๆ ขึ้นมาทันที เท่าไรครับ?
คนขาย : 2,990 บาท
ผม : (คิดในใจ OMG!!! ราคาปกติซะด้วยร้านนี้ ไม่โก่งราคาดีจริงๆ) ทำหน้าปกติเหมือนไม่ตื่นเต้น แล้วถามต่อว่า มีสีอะไรบ้าง
คนขาย : มี 2 สี ขาว, แดง ครับ
ผม : งั้นเอาสีขาวมาดูหน่อยครับ
คนขาย : นี่ครับ สีขาว แต่ตอนนี้ของขาดครับพี่ ราคาขึ้นนะครับ… ผมขอเป็น 3100 บ. ได้มั้ยครับพี่
ผม : เอิ่ม อ่าวไหนว่าราคา 2,990 บ. ไง ?><()&#Q$_)@ บรา บรา บรา… ผมก็เลยยืนดูของสักพัก และต่อรองว่าขอราคาเท่าเดิม
คนขาย : โอเค ได้ครับ
ผม : เย้… (ในใจ) แล้วก็ตรวจเช็คของในเครื่อง ปรากฎว่าล็อตนี้ มีแบตเตอรี่มาให้ 2 ก้อนด้วยนะครับ พร้อมกับอะแด็ปเตอร์ สาย USB แต่ไม่มีหูฟัง ซึ่งเป็นตามมาตรฐานนี้อยู่แล้ว ที่สำคัญเครื่องประกันศูนย์ ASUS ด้วยนะครับ

 

zenfone4

 

ดังนั้นสำหรับใครที่อยากได้ Zenfone 4 ไว้ใช้งาน ผมลองโทรไปสอบถามทางร้านดูแล้ว ว่ามีเครื่องเหลืออีกประมาณ 10-20 ตัว มีแค่สีขาวกับสีแดงนะครับ

 

สำหรับบทความนี้ทางร้านไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผมหรือเว็บ Oopsmobile แต่อย่างใดนะครับ ส่วนราคาหลังจากนี้ทางร้านจะปรับขึ้นอีกหรือไม่ อันนี้ก็ต้องสอบถามกันดูอีกทีนะครับ

 

แต่ในฐานะตัวแทนผู้บริโภค อยากให้ร้านค้าต่างๆ ขายตามราคาเปิดตัวดีกว่านะครับ อย่าโก่งราคาในช่วงเวลาที่ของขาดตลาดกันเลยนะครับ

 

ใครสนใจ ก็ไปดูกันได้ที่ร้าน สหมือถือ ห้างน้อมจิต ชั้น 2 ใกล้กับร้าน Telewiz
https://www.facebook.com/sahamobilethai?fref=ts

 

รวมแอพฉุกเฉิน ป้องกันการถูกข่มขืน

 

help-me-on-mobile

 

หลังจากที่มีข่าวคดีฆ่าข่มขืนเด็ผู้หญิงบนรถไฟ ซึ่งเป็นที่สะเทือนขวัญกันไปทั้งประเทศ จนเกิดกลายเป็น กระแสให้ปรับเปลี่ยนบทลงโทษผู้กระทำผิดให้หนักขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหาได้อีกทางหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งต้นเหตุอาจจะมาจากหลายปัจจัย ดังนั้นสำหรับผู้หญิงที่ตกเป็นภัยได้ง่าย จึงต้องรู้จักป้องกันตนเองให้ดีเอาไว้ก่อน วันนี้เราจึงขอรวบรวมแอพที่ควรมีติดตัวไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินต่างๆ รวมถึงกรณีเสี่ยงต่อการถูกข่มขืนอีกด้วย

 

Watch Over Me แชร์พิกัด เมื่อเกิดเหตุ

Help-me-for-rape-app-06
หากคุณตกอยู่ในภาวะเสี่ยงภัย ต้องติดตั้งแอพนี้เอาไว้เลย เพราะมันจะสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ดูแลเราได้ทันที โดยแอพ Watch Over Me จะสามารถส่ง SMS ข้อความขอความช่วยเหลือ รวมถึงแนบพิกัด GPS ในตำแหน่งที่เราอยู่ไปยังเบอร์ที่เราตั้งค่าเอาไว้ เช่นเบอร์ของคุณพ่อ หรือเบอร์แฟน และหากเกิดเหตุฉุกเฉินเพียงเปิดแอพขึ้นมาแล้วเขย่าตัวเครื่อง ระบบก็จะส่ง SMS แจ้งเตือนพร้อมพิกัดไปยังหมายเลขที่บันทึกไว้ให้ทันทีโดยอัตโนมัติ พร้อมกับภาพวิดีโอคลิปบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวส่งไปพร้อมกันด้วย (แต่ถ้าใช้ฟังก์ชั่นนี้ กล้องจะถูกเปิดแฟลชขึ้นด้วย ดังนั้นจึงอาจไม่เหมาะหากคนร้ายอยู่กับเรา และต้องปิดเสียง Alert เอาไว้ด้วยก็ดี)

Help-me-for-rape-app-08
ที่สำคัญมันสามารถตั้งค่าให้แชร์ข้อความที่ขอความช่วยเหลือไปยัง Facebook ได้อีกด้วย และในกรณีที่กลัวคนที่บ้านเป็นห่วงเราเวลาเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อถึงที่หมายแล้วเราก็สามารถแจ้งได้ว่าตอนนี้เราถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้ว พร้อมแนบรูปหรือโพสต์สถานะเข้าไปด้วยก็ได้

Help-me-for-rape-app-07

 

และหากคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในการเกิดอาชญากรรมบ่อยๆ ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาด้วยโดยรองรับใน 7 เมืองใหญ่ ได้แก่ New York City, London, Leeds, Melbourne, Sydney, Kuala Lumpur และ กรุงเทพฯ ของเราด้วย นอกจากนี้เราเองก็ยังสามารถปักหมุดบนแผนที่ได้ว่าจุดไหนเคยเกิดอาชญากรรมใดขึ้นได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ฟีเจอร์หลักอีกอย่างก็คือมันสามารถแชร์หรือส่ง SMS ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ หากเราถึงที่หมายแล้วไม่ได้ทำการเช็คอินหรือส่งข้อความแจ้งว่าเราปลอดภัยภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นที่มาของชื่อแอพ Watch Over Me นั่นเอง

 

ข้อเสียอย่างหนึ่งสำหรับคนไทยคือ ข้อความที่ส่งไปจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คนที่ได้รับข้อความไม่เข้าใจ ดังนั้นขอแนะนำว่าให้ทดลองส่งข้อความแล้วทำความเข้าใจกับคนที่จะให้ความช่วยเหลือเราเอาไว้ก่อนก็น่าจะช่วยได้นะครับ

 

สำหรับเวอร์ชั่นฟรี จะสามารถเพิ่มเบอร์ช่วยเหลือได้แค่ 1 คน และแชร์ไปยัง Facebook หรือ Email ที่ตั้งไว้ได้ แต่ไม่สามารถส่ง SMS กับบันทึกวิดีโอโดยอัตโนมัติได้ อาจจะต้องเสียค่าบริการถึงจะใช้ฟีเจอร์ได้ครบ โดยคิดเป็นราย 3 เดือน 9.99 เหรียญสหรัฐ และ ราย 1 ปี 23.99 เหรียญสหรัฐ

 

ดาวน์โหลด iOS | Android

 

 

Help Me on Mobile ส่งพิกัดและโทรออกฉุกเฉินอัตโนมัติ

Help-me-for-rape-app-01
มีแอพอีกตัวหนึ่งที่อยากแนะนำ ซึ่งก็รองรับทั้ง iOS และ Android ที่สาวๆ ควรมีติดเครื่องเอาไว้เช่นกัน โดยแอพนี้จะมีความสามารถคล้ายกับแอพ Watch Over Me โดยมันจะสามารถส่ง SMS ฉุกเฉินไปยังหมายเลขที่กำหนดได้เช่นเดียวกัน แต่จะไม่มีฟังก์ชั่นแชร์ไปยัง Facebook หรืออีเมล์ ซึ่งแอพนี้จะเน้นการใช้งานที่ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับการส่งข้อความแจ้งเตือนในทันทีทันใด

 

เมื่อเซ็ตเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครองหรือผู้ที่จะช่วยเหลือเราได้ เอาไว้แล้ว ซึ่งสามารถตั้งได้หลายคน แต่จะมีเพียงคนเดียวที่ต้องตั้งให้เป็นคนหลักที่ในการโทรหาอัตโนมัติ เมื่อเกิดเหตุก็ให้แตะที่ปุ่ม I need Help ระบบก็จะส่ง SMS ข้อความไปยังบุคคลที่กำหนดไว้ รวมถึงพิกัดปัจจุบันไปด้วย พร้อมก็โทรออกไปยังเบอร์หลักให้อัตโนมัติ ตามเวลาที่ตั้งไว้ ซึ่งในฟังก์ชั่นนี้หากไม่ได้ปิดเสียง Alarm เอาไว้เวลาแตะปุ่มขอความช่วยเหลือจะมีเสียงขึ้นมา ดังนั้นหากอยู่ในสถานะการณ์ที่ไม่ให้ผู้ร้ายรู้ได้ ก็สามารถบิดเสียง Alarm เอาไว้ก่อน

Help-me-for-rape-app-02

 

นอกจากนี้หากต้องการแค่ส่ง SMS ข้อความและพิกัดไปขอความช่วยเหลือ โดยไม่ต้องโทรออก ก็ให้แตะที่ปุ่ม I am here

 

ข้อดีของแอพนี้คือ เราสามารถแก้ไขข้อความที่จะส่งออกไปได้ ดังนั้นจึงสามารถส่งข้อความขอช่วยเหลือเป็นความภาษาไทยได้นั่นเอง และยังคงแนบที่อยู่และพิกัด GPS ให้อัตโนมัติเข้าไปอีกด้วย

Help-me-for-rape-app-03

 

สำหรับการเพิ่มชื่อผู้ปกครองหรือคนที่เราจะขอความช่วยเหลือนั้น ในแอพนี้สามารถเพิ่มได้หลายคน จากที่ลองคือได้มากกว่า 4 คน และจะเลือกให้ส่ง SMS ไปแจ้งเตือนทั้งหมด หรือเฉพาะบางคนก็ได้

 

ส่วนของการโทรออกอัตโนมัติก็สามารถตั้งหน่วงเวลาได้ตั้งแต่ 5 วินาที จนถึง 60 วินาที และเมื่อผู้ปกครองของเราได้รับข้อความก็จะสามารถแตะตรงพิกัดเพื่อเปิดดูแผนที่บน Google Map ได้ทันที

Help-me-for-rape-app-04

 

นับว่าเป็นอีกหนึ่งแอพที่ค่อนข้างใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน เพื่อให้คุณผู้หญิงได้ปลอดภัยจากการตกเป็นเหยืออาชญากรรมต่างๆ ไม่มากก็น้อย
ดาวน์โหลด iOS | Android

 

สรุปรวบตึง งาน Google I/O 2014 กระชับ อ่านง่าย เข้าใจเร็ว

 

googleio_2014_10

 

มาถึงงานสำคัญของนักพัฒนาฝั่ง Android กันบ้าง กับงานใหญ่ประจำปี Google I/O 2014 ซึ่งในปีนี้มีอะไรเด็ดๆ มาให้ตื่นเต้นกันบ้าง เราได้สรุปรวบตึง แบบกระชับ ชับไว อ่านง่าย เข้าใจเร็ว เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

 

และทุกครั้งในการเริ่มต้นเปิดงานก็จะมีการประกาศยอดตัวเลขเพื่อเกทับคู่แข่งกันตามธรรมเนียม โดย Mr.Sundar Pichai Senior Vice President ของ Google ได้ประกาศว่าในขณะนี้มีผู้ใช้แอนดรอยด์กว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน เรียบร้อยแล้ว

 

Android One
สิ่งแรกที่เปิดตัวในงาน Google I/O เลยก็คือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Google ในชื่อ Android One ที่เน้นราคาประหยัด โดยจะต้องมีราคาต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 3,000 บ. เป้าหมายคือต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ได้ โดยหวังว่ากว่า 190 ล้านคนทั่วโลก จะได้ใช้งานสมาร์ทโฟนในราคาและสเปกที่เหมาะสม โดยจะเริ่มจากประเทศอินเดียก่อน และให้บริษัท Micromax กับ Karbonn เป็นผู้ผลิต ซึ่งสเปกที่ต้องมีคือขนาดหน้าจอ 4.5 นิ้ว, รองรับ 2 ซิม, ใส่ SD Card ได้ และมีฟังก์ชั่นวิทยุ FM
googleio_2014_01

 

 

Android L
ถือเวลาปรับโฉมกันอีกแล้ว ซึ่งกูเกิ้ลได้เปลี่ยนคอนเซ็ปการในสร้างแอพและ UI ใหม่ โดยเรียกว่า Material Design ซึ่งแอบเห็นแวบๆ แล้วก็ออกแนว Flat Design นั่นเอง เอเหมือน iOS 8 เลยสินะ อิอิ โดยนักพัฒนาสามารถออกแบบกราฟิกแอนิเมชั่นให้สมูทมากยิ่งขึ้นเป็น 60 เฟรมต่อวินาทีได้ รับรอง 64 บิต และภาพ 3 มิติ นอกจากนี้ยังเพิ่มเรื่องการใช้พลังงานให้ประหยัดขึ้นเพื่อให้แบตอยู่ได้นานขึ้น ใน Project Volta

googleio_2014_02

 

 

Android Wear
เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android Wear สำหรับอุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถใช้งานระบบทัชสกรีนบน Smartwatch รุ่นต่างๆ ได้ ซึ่งมีการนำฟังก์ชั่นการ์ดบน Google Now มาใช้งานบนอุปกรณ์เหล่านั้น และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานร่วมกันได้ โดยรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพียงพูดว่า OK Google จากนั้นก็สั่งให้ สร้างโน้ต, บันทึกเตือนความจำ, ตั้งนาฬิกาปลุก, โทรศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในงานนี้มี Smartwatch เปิดตัวด้วยกัน 3 แบรนด์คือ LG G Watch, Samsung Gear Live และ Moto 360 โดย 2 รุ่นแรกคือ LG กับ Samsung สามารถสั่งซื้อออนไลน์บน Google Play Store ได้แล้ว และจะเริ่มส่งของในวันที่ 7 ก.ค.นี้ เฉพาะในสหรัฐก่อน

googleio_2014_03

 

Android Auto
มาแล้วกับแพลตฟอร์ตสำหรับหน้าจอบนรถยนต์ ที่เริ่มเปิดให้นักพัฒนาและพาร์ทเนอร์ด้านยานยนต์กว่า 40 ราย ได้พัฒนาระบบ โดยมันสามารถใช้งานร่วมกับ Google Now เช่นเมื่อเราออกจากออฟฟิศ ระบบจะคำนวณเส้นทางกลับบ้านให้อัตโนมัติ โดยซิงค์ข้อมูลจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนหน้าจอรถยนต์ให้ทันที รวมถึงรองรับการสั่งงานด้วยเสียง เช่น สั่งให้เปิดเพลง เล่นเพลงถัดไป หรือฟังเพลงออนไลน์จาก Google Play Music เป็นต้น เบื้องต้นมีแบรนด์ที่ร่วมพัฒนาแล้วอย่าง Hyundai, Porsche และ Acura

googleio_2014_04

 

 

Android TV
อีกสิ่งหนึ่งที่ Google พยายามแทรกเข้าไปอยู่ในตลาดห้องนั่งเล่นก็คือ Android TV ซึ่งหลังจากปล่อย Chromecast ออกมาเมื่อปีที่แล้วก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มาปีนี้เลยจัดเต็มมาเป็นจอทีวีไปเลย ซึ่งสามารถใช้ดูทีวีผ่านเสาอากาศตามปกติก็ได้ หรือจะดูรายการผ่านสตรีมมิ่งออนไลน์ต่างๆ แต่จุดเด่นที่สุดคือมันสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ โดยมีฟังก์ชั่น Google Voice Search ที่ให้เราสั่งค้นหารายการทีวีโชว์ต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเล่นเกมได้แบบมัลติเพลย์เยอร์ โดยที่เพื่อนของเราใช้ Android Tablet ในการเล่นด้วยกัน และยังคงมีฟีเจอร์การนำคอนเทนส์บนมือถือไปแสดงบนจอทีวีแบบเดียวกับ Chromecast ได้อีกด้วย ล่าสุด Sony และ Philips ได้นำระบบ Android TV ไปพัฒนาแล้ว

googleio_2014_05

 

 

Chromecast update
สำหรับ Chromecast ก็ไม่ได้ปล่อยลอยแพ ยังคงมีการอัพเดทความสามารถใหม่เพิ่มขึ้นมา โดยสามารถเชื่อมต่อสัญญาณกันได้ด้วยการค้นหาแบบ Near by ไม่ต้องพึ่งเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่ที่เรียกว่า Backdrop สามารถแสดงภาพในมือถือให้สตรีมขึ้นไปบนจอทีวีได้แล้ว พร้อมกับให้แสดงสภาพอากาศและข่าวสารได้อีกด้วย และสุดท้ายคือสามารถแสดงหน้าจอมือถือแบบ Miror Display ได้แล้ว

googleio_2014_06

 

 

Chromebook
สำหรับใครที่ใช้ Chromebook ต่อไปจะสามารถปลดล็อคเข้าใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ให้มือถือ Android อยู่ใกล้ๆ เครื่อง หรือหากใช้งานแอพพลิเคชั่นที่รองรับทั้ง 2 ระบบร่วมกันได้ ก็จะสามารถดูการแจ้งเตือน หรือใช้งานแอพผ่านบน Chromebook ได้เหมือนกับบนมือถือ เฮ๊ย!!! นี่มันคล้ายกับฟีเจอร์ใหม่ของ OS ขุนเขาแห่งหนึ่งในสหรัฐเลยนี่นา อิอิ…

googleio_2014_07

 

 

Business
สำหรับภาคธุรกิจก็มีการเจาะกลุ่มตลาดองค์กรมากขึ้นด้วยการแยกส่วนแอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรและส่วนตัวออกจากกันในได้เครื่องเดียว คล้ายๆ กับ Samsung Knox และยังได้เปิดบริการ Google Doc ที่มาเต็มครบทั้ง 3 แอพคือ Docs, Sheet และ Slide นอกจากนี้ในส่วนของ Google Drive ก็ให้ใช้พื้นที่ได้แบบไม่จำกัด โดยเสียค่าบริการเพียง 10 เหรียญสหรัฐ ต่อเดือน ต่อคน เท่านั้น

googleio_2014_08

 

 

Google Cloud
ส่วนนี้จะเป็นของนักพัฒนาแอพ ที่เป็นแพลตฟอร์มให้ทำงานร่วมกันบนคลาวด์ แล้วสามารถตรวจสอบ รันเทสโค้ดจากเครื่องต่างๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ

 

Google Fit
แพลตฟอร์ม Google Fit สำหรับคนรักสุขภาพ โดยจะเป็นศูนย์รวมข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ฟิตเนสต่างๆ ซึ่งจะรองรับได้ทุกอุปกรณ์ คล้ายกับแอพ HealthKit ของ Apple ที่เพิ่งเปิดตัวไป ดังนั้น Google Fit จะเป็นศูนย์รวมข้อมูลฟิตเนสของผู้ใช้ใว้ในที่เดียว และมีแบรนด์ที่เข้าร่วมแล้วอย่าง Nike, Adidas และ Withings

googleio_2014_09

 

 

Google Play Game
ต่อไปนี้สาวกเกม จะสามารถเซฟเกมขึ้นคลาวด์ได้แล้ว หมดปัญหาเวลาย้ายไปเล่นเครื่องอื่น รวมถึงเก็บรวบรวมสถิติการเล่น และดูลำดับผู้เล่นใน Leaderboards ได้

 

และนี้คือภาพรวมทั้งหมดของงาน Google I/O 2014 ที่เราจะได้สัมผัสในแต่ละเทคโนโลยีกันเร็วๆ นี้

 

7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 สมาร์ทโฟน สุดฟรุ้งฟริ้งในอวังกาศ

 

oppo_find7_03

 

เมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง OPPO Find 7 อย่างเป็นทางการ และอลังการดาวล้านดวงมากๆ จนรู้สึกแปลกใจว่าแบรนด์ OPPO เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขนาดนี้เลยเหรอ เพราะด้วยรูปแบบการจัดงานต้องบอกว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ คือแค่พนักงานที่คอยสาธิตฟังก์ชั่นการใช้งานตามฐานต่างๆ กว่า 7 ฐาน ก็เยอะมากจะแทบจะไม่มีที่ให้แขก สื่อมวลชนได้ยืนกันแล้วล่ะครัชชชช (อันนี้แซวนะ เปรียบเทียบให้รู้ว่าเยอะมากกว่าปกติจริงๆ)

 

เอาล่ะครับสำหรับใครที่อยากจะทำความรู้จักกับ OPPO Find 7 ว่ามันน่าสนใจแค่ไหน ผมจะสรุปรวบตึง ให้เห็นกันชัดๆ กับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ใน OPPO Find 7 ไปดูกันเลยว่ามันจะฟรุ้งฟริ้งแค่ไหน

 

1. หน้าจอ 5.5 นิ้ว 2K Quad HD

3

เริ่มจากสิ่งแรกคือหน้าจอของ Find 7 ได้พัฒนาต่อยอดจากระดับ Full HD ใน Find 5 โดยร่วมกับ JDI ผู้ผลิตจอภาพระดับโลกที่ได้พัฒนาให้มีควมคมชัด และปรับสมดุลภาพหน้าจอให้ดูสมจริง บนขนาด 5.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูงระดับ 2K Quad HD (2560 x 1440 พิกเซล) มากกว่า 4 เท่าของระบบ HD (HD = 1280×720 พิกเซล) โดยมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วถึง 538 PPI (Pixel Per Inch) เรียกว่าหน้าจอของ OPPO Find 7 ออกมาปะทะกับคู่แข่งอย่าง LG G3 แบบเต็มๆ

 

2. VOOC Rapid Charge ระบบชาร์จแบตไว 4 เท่า

1_fast charge
ถือเป็นรุ่นแรกของ OPPO ที่ได้นำนวัตกรรมการชาร์จความเร็วสูง VOOC Rapid Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 40 นาที ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จแบบปกติถึง 4 เท่า สาเหตุที่ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นก็เพราะมีการออกแบบให้อะแดปเตอร์มีขั่วต่อพิเศษถึง 7 PIN ทำให้การประจุไฟมีประสิทธิภาพและเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนและเป็นอันตราย

 

3. จัดเต็มซีพียู Quad Core 2.5 GHz แรม 3 GB

oppo_find7_01
สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดที่ OPPO Find 7 ใช้เอาชนะคู่แข่งแบนด์ดังได้หมดก็ว่าได้ ด้วยซีพียู 4 แกนสมอง (Quad Core) Qualcomm Snapdragon 801 ตัวล่าสุด ความเร็ว 2.5 GHz ระบบประมวลผลกราฟฟิก Adreno 330 พร้อมด้วยแรมขนาด 3 GB เพียงพอต่อการรันกราฟฟิกหรือใช้งานแอพหลายๆ ตัวพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล และที่สำคัญ ยังให้พื้นที่หน่วยความจำในตัวเครื่องมามากถึง 32 GB และเพิ่ม Micro SD ได้สูงสุด 128 GB

 

4. ถ่ายวิดีโอระดับ 4K ถ่ายภาพนิ่ง 50 ล้านพิกเซล

oppo_find7_02
กล้องหลังมาพร้อมเซนเซอร์รุ่นล่าสุดของ Sony Stacked CMOS IMX214 กับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างถึง f2.0 ถ่ายที่มืดได้สบายๆ นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียดสูงระดับ 4K (3840 x 2160 พิกเซล) ซึ่งละเอียดกว่า Full HD ถึง 4 เท่า เรียกว่าชัดบาดตากันไปเลย แต่ที่ลำบากกว่านั้นคงต้องซื้อทีวีไหม่ที่รองรับภาพ 4K หรือ Ultra HD เพื่อเอาไว้รับชมนั่นเอง เหอะๆ และยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion 120 เฟรม/วินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720 P

 

ส่วนของการถ่ายภาพนิ่งจะมีเทคโนโลยี Pure Image 2.0 ที่จะเลือกส่วนที่ดีที่สุดของทั้ง 10 ภาพถ่ายแล้วนำมารวมกันจนได้ภาพความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซล สามารถพิมพ์ออกมาได้ภาพขนาดใหญ่เท่า Billboard

 

5. เปิดชัตเตอร์ได้นานสุด 32 วินาที

5
OPPO Find 7 มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Slow Shutter ที่สามารถเปิดหน้ากล้องหรือชัตเตอร์ได้นานสูงสุดถึง 32 วินาที เพียงเรามีขาตั้งกล้อง แล้วเข้าสู่โหมดนี้ จากนั้นก็ตั้งเวลาถ่ายตามต้องการ จะให้เปิด 10 วิ 20 วิ หรือสูงสุด 32 วินาที เพื่อถ่ายภาพแสงไฟจากรถบนท้องถนนให้เป็นเส้นๆ หรือจะวาดเป็นภาพกราฟิกจากไฟฉาย หรือดอกไม้ไฟก็ได้

 

6. Skyline Notification แสงไฟแจ้งเตือนสุดล้ำ

5OPPO Find7
ไฟแจ้งเตือนจากแอพต่างๆ ไม่ได้กะโหลกกะลานะเลยนะครับ มีการออกแบบอย่างตั้งใจ ด้วยการใช้นวัตกรรมกำเนิดแสง LGF (Light Guide Film) เป็นครั้งแรก ด้วยจุดกำเนิดแสงที่เรียงกันบนแผง LGF ถึง 3,140 จุด เพื่อทำให้เกิดเส้นแสงสีน้ำเงินสุดล้ำตรงส่วนท้ายของตัวเครื่อง

 

7. รองรับ 4G พร้อมวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ

4_4G
แม้ 4G ยังไม่บังเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในเมืองไทย แต่ค่ายไหนที่มีให้ลองใช้ก็สามารถพร้อมรองรับได้ทันที เพื่อการชมวิดีโอความละเอียดสูงแบบออนไลน์ไม่สะดุด นอกจากนี้ในแง่ของการดีไซน์ยังได้ผลิตจากวัสดุเกรดเดียวกับเครื่องบินอวกาศ ด้วยไทเทเนี่ยม-อลูมิเนี่ยมอัลลอย คงทน แข็งแรง น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี และดีกว่าแมกนีเซี่ยมอัลลอยที่นิยมใช้กันทั่วไป

 

OPPO Find 7 วางจำหน่ายแล้วในราคา 19,990 บ.