[Update] คอนเฟิร์มราคาและวันวางขาย Galaxy Tab S ทั้ง 2 รุ่น

 

เปิดราคากันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ Samsung Galaxy Tab S แท็บเล็ตตระกูลใหม่ล่าสุดจากซัมซุง โดยที่หน้าแฟนเพจของ Jaymart ได้โพสต์ราคาของ Galaxy Tab S ทั้ง 2 รุ่นออกมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตรงกับที่ซัมซุงประกาศในงาน Blogger Day เมื่อคืนที่ผ่านมา (30 มิ.ย. 57) ส่วนวันวางจำหน่ายทางซัมซุงได้ประกาศ ว่าจะวางขายวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. นี้ ส่วนโอเปอเรเตอร์อย่าง Truemove H ที่ได้โพสต์ข่าวเตรียมพบ Galaxy Tab S ไว้ก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่ได้เปิดรับจองและเผยราคาโปรโมชั่น แต่อย่างใดในขณะนี้
galaxy-tab-s-prize

Galaxy-tab-S-1
สไลด์จากงาน Samsung Blogger Day

 

Galaxy Tab S 8.4 ราคา 16,900 บ.
Galaxy Tab S 10.5 ราคา 19,900 บ.

 

Galaxy-tab-s-2

 

สำหรับตัวเคส Book Cover ก็จะนำมาขายด้วยเช่นกัน โดยรุ่น 8.4″ ราคา 1,890 บาท  ส่วนรุ่น 10.5″ ราคา 2,190 บาท

 

คลิก ดู Infographic เปรียบเทียบกับ iPad Air และ iPad mini (Retina)

 

คุณสมบัติเด่นของ Galaxy Tab S
• มีเซ็นเซอร์ IR (อินฟราเรด) ในตัว ไว้เป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ
• มีเซ็นเซอร์ สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home เหมือน Galaxy S5
• บอดี้ด้านหลังเป็นพลาสติกผิวสัมผัสคล้ายหนัง และขอบดีไซน์เป็นเมทัลลิคคล้าย Galaxy S5
• มาพร้อมอินเทอร์เฟสล่าสุด Samsung’s Magazine UX
• มี Ultra Power Saving Mode ช่วยประหยัดแบต เหมือน Galaxy S5
• รันบน Android 4.4 Kitkat
• มี 2 สีให้เลือก ขาว, ไทเทเนี่ยมบลอน
• รองรับ Multi Windows
• SideSync 3.0 เชื่อมต่อการใช้งานร่วมกันระหว่าง Tab S กับ Galaxy Smartphone เช่น แสดงผลหน้าจอมือถือบนแท็บเล็ตได้, ก็อปปี้ข้อมูล หรือใช้ Tab S รับสายจากมือถือแทนกันได้
• มีแอพและเกมให้โหลดฟรีๆ มากมาย ใน Galaxy Gifts รวมถึงแอพ Papergarden ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ไว้สำหรับดูแมกกาซีนแบบอินเตอร์แอคทีพโต้ตอบได้ ด้วยภาพที่คมชัดรองรับกับหน้าจอ SuperAMOLED โดยเฉพาะ (บางแอพรองรับในอเมริกาเท่านั้น)

 

Source : Jaymart

 

Infographic เปรียบเทียบ Galaxy Tab S กับ Apple iPad Air, iPad mini

 

ใกล้จะวางจำหน่ายในเมืองไทยแล้วสำหรับ Galaxy Tab S แท็บเล็ตตระกูลสลิม หลังจากเปิดตัวในอเมริกาไปเมื่อกลางเดือน ก.ค. กับขนาดหน้าจอมาตรฐานใหม่ 8.4 นิ้ว กับ 10.5 ที่ออกแบบให้เหมาะกับการพกพาได้สะดวก แต่ยังคงได้รับอรรถรสจากหน้าจอที่คมชัดในระดับ Super AMOLED ความละเอียด WQXGA 2560 x 1600 ด้วยสีสัน สวยสด งดงาม ที่สำคัญถ้าอยากรู้ว่ามันแตกต่างจาก iPad Air และ iPad Mini with Retina Display ยังไง เรามีภาพอินโฟกราฟิกมาให้ดูกัน

 

info-galaxy-tab-s

 

เมื่อดูการเปรียบเทียบจากสเปกแล้ว แน่นอนล่ะครับว่า iPad Air กับ iPad mini with Retina Display ยอมต่ำกว่าเป็นแน่ เนื่องด้วยเพราะออกมาก่อน ซึ่งแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ออกรุ่นใหม่ๆ ก็ต้องเอาชนะด้วยสเปกทางฮาร์ดแวร์เป็นสิ่งแรก แต่สิ่งที่น่าพิจารณาอีกอย่างก็คือเรื่องของระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีสไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบแบบไหน ถ้ารักความอิสระ เล่นได้ทุกอย่างแบบไร้ขีดจำกัด แต่แอพปลอมเยอะต้องระวัง ก็เลือกแอนดรอยด์ หากชอบความง่ายในการใช้งาน ระบบมีความเสถียรภาพสูง แต่ทุกอย่างถูกจำกัดด้วยอารยธรรม Apple ก็เลือก iOS ไป…

 

สำหรับกำหนดวางจำหน่าย Galaxy Tab S ทั้ง 2 รุ่น จะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ โดยทาง Jaymart ได้เผยราคาออกมาแล้ว

Galaxy Tab S 8.4 ราคา 16,900 บ.

Galaxy Tab S 10.5 ราคา 19,900 บ.

galaxy-tab-s-prize

 

เปิดตัว Acer Aspire Switch 10 ไฮบริดโน้ตบุ๊ค และ Acer Iconia One 7 (B1-730HD) แอนดรอยด์แท็บเล็ต พลังเทคโนโลยีซีพียูจากอินเทล

 

ACER__ (8)

 

บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไฮบริดโน้ตบุ๊ค Acer Aspire Switch 10 บนแพลทฟอร์มวินโดวส์ และแอนดรอยด์แท็บเล็ต Acer Iconia One 7 (B1-730HD) โดดเด่นด้วยดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม พร้อมนำเสนอการใช้งานอย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบทั้งด้านการออกแบบ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย สร้างประสบการณ์ใหม่ของการใช้งานอุปกรณ์ไอทีที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการเน้นจุดขายการปฏิวัติรูปแบบการใช้งานแบบ Work, View & Play ที่รวมเอาประสบการณ์ทั้งความบันเทิงและการทำงานเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างดี

 

นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า นวัตกรรมไอทีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้งานของผู้บริโภคที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามกระแสของเทคโนโลยี ไฮบริดโน้ตบุ๊คและแท็บเล็ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาทั้งด้านดีไซน์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่ต้องการอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ด้านการทำงานและความบันเทิงรวมกันไว้ในเครื่องเดียว เอเซอร์มีความพร้อมในด้านโซลูชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์ และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Acer Aspire Switch10 และ Acer Iconia One 7 (B1-730HD) ในครั้งนี้จะเป็นการช่วยเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์ให้ครบทุกเซกเมนต์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดในครึ่งปีหลังให้คึกคักมากขึ้น

ACER__ (11)

 

 

“สำหรับผลิตภัณฑ์ Acer Aspire Switch10 และ Acer Iconia One 7 (B1-730HD) นับเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเอเซอร์แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดมา ในวันนี้เอเซอร์มีความพร้อมอย่างมากในการที่จะให้ผู้บริโภคได้พบกับไฮบริดโน้ตบุ๊คและแอนดรอยด์แท็บเล็ต ที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างครอบคลุมในขนาดและราคาที่เหมาะสม และเรามั่นใจว่าทั้ง Acer Aspire Switch10 และ Acer Iconia One 7 (B1-730HD) จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการทำงานบนแท็บเล็ต หรือผู้ใช้งานที่ต้องการความบันเทิง”

 

นายสุพงศ์ ตั้งตรงเบญจศีล ผู้จัดการฝ่ายกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊คและแท็บเล็ต บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ Acer Aspire Switch 10 เป็นไฮบริดโน้ตบุ๊คบนแพลทฟอร์มวินโดวส์ สามารถใช้งานได้แบบ 2 in 1 ทั้งแท็บเล็ต หรือ โน้ตบุ๊ค ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 4 รูปแบบ คือโน้ตบุ๊ค (Notebook) แท็บเล็ต (Pad) ตั้ง (Display) และเต็นท์ (Tent) เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย (Multiple Functions) รวมถึงการเข้าถึงการใช้งานได้หลากหลาย (Multiple Accessibility) ตัวเครื่องได้รับการออกแบบให้มีดีไซน์ที่บางเพียง 8.9 มม ขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้ว แบบ TFT LCD พร้อมเทคโนโลยี Zero Air Gap ลดการสะท้อนของแสง เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะใช้งานกลางแจ้ง ทำให้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแต่แฝงไปด้วยการใช้งานที่ครอบคลุม มาพร้อมอุปกรณ เสริม Docking Keyboard (ภาษาอังกฤษ-ไทย) พร้อม HDD ขนาด 500GB ภายในตัวคีย์บอร์ด และระบบ Acer Snap Hinge ที่มีความทนทานทำให้ทุกการใช้งานไม่ว่าจะเป็น พลิก พับ เชื่อมต่อ หรือการถอดคีย์บอร์ดออกจากตัวเครื่องเป็นไปอย่างง่ายดาย ระบบประมวลผลสุดล้ำ Intel® Z3745 ความเร็วสูงสุดที่ 1.8 GHz พร้อมแรม 2GB และหน่วยความจําภายในสูงถึง 64GB แบบ SSD พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 และชุดโปรแกรม Office Home & Student 2013 ให้คุณทํางานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ราบรื่น ได้ทุกที่ ทุกเวลา

 

นายวิวัฒน์ เต็มสุขถวิล ผู้จัดการฝ่ายกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแอนดรอยด์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า Acer Iconia One 7 (B1-730HD) เป็นแอนดรอยด์แท็บเล็ตที่รองรับความบันเทิงต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม บางเฉียบน้ำหนักเบาแต่เต็มประสิทธิภาพในการใช้งาน มาพร้อมจอแสดงผล HD ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล ขนาด 7 นิ้ว ใช้งานง่ายในมือเดียว รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Android 4.2 ท่องเว็บ เล่นเกมส์ได้ลื่นไหลด้วยซีพียู Intel® AtomTM Z2560 1.6 GHz Dual Core ที่มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้กินไฟน้อยลง แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 7 ชม. พื้นที่ความจุ 8 GB รองรับ Micro SD สูงสุดถึง 32 GB หน่วยความจำ RAM 1 GB เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กล้องถ่ายรูป 2 ล้านพิกเซล และ กล้องด้านหน้า 3 แสนพิกเซล พร้อมสีสันให้เลือกใช้งานถึง 10 สี

ACER__ (15)

 

 

iPod Touch 16 GB รุ่นใหม่ มาพร้อมกล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล พร้อมปรับราคาลงทุกรุ่น สูงสุดถึง $100 เหรียญสหรัฐ

iPod-touch-5genApple เปิดตัว iPod Touch รุ่นใหม่ หลังจากที่หายเงียบไปนาน แต่คราวนี้ก็ได้มีการอัพเกรดขึ้นมานิดหน่อย โดยปรับสเปกเฉพาะ iPod Touch 16 GB โดยเพิ่มกล้องหลัง iSight 5 ล้านพิกเซลขึ้นมา ซึ่งเท่ากับรุ่น 32/64 GB ที่ขายในปัจจุบัน และยังได้เพิ่มสีออกมาให้เลือกอีก 5 สีจากเดิมมีแค่สีเงินสีเดียว

 

สำหรับ iPod Touch 5th Gen รุ่นใหม่นี้ จะออกมาแค่ขนาด 16 GB อย่างเดียว เนื่องจากเป็นการปรับเจนขึ้นมาให้เท่ากับรุ่น 32/64 GB ที่ขายอยู่ในขณะนี้ และที่สำคัญมีการปรับราคาลงเหลือเพียง $199 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,000 บาท (รุ่นก่อนอยู่ที่ 7,500 บ. ($229))

 

สำหรับสเปกอื่นๆ ก็เหมือนกับรุ่น 32/64 GB (5th Gen) แต่ที่สำคัญยังลดราคารุ่นอื่นลงมาด้วย จึงทำให้ iPod Touch 5th Gen ทั้งหมดมีราคาใหม่โดยประมาณดังนี้

 

• iPod Touch 5th Gen 16 GB ราคา $199 (เดิม $229) ∼ 6000 บ.
• iPod Touch 5th Gen 32 GB ราคา $249 (เดิม $299) ∼ 8000 บ.
• iPod Touch 5th Gen 16 GB ราคา $299 (เดิม $399) ∼ 12,000 บ.

 

สำหรับการวางจำหน่าย ตอนนี้เริ่มสั่งซื้อผ่าน Apple Store เฉพาะในอเมริกาได้แล้ว ส่วนประเทศอื่นๆ จะเริ่มวางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

ipod-touch-01
บนหน้าเว็บ Apple Store TH งดจำหน่าย iPod Touch 16 GB (4th Gen) แล้ว

 

Source : Apple US

 

 

สรุปรวบตึง งาน Google I/O 2014 กระชับ อ่านง่าย เข้าใจเร็ว

 

googleio_2014_10

 

มาถึงงานสำคัญของนักพัฒนาฝั่ง Android กันบ้าง กับงานใหญ่ประจำปี Google I/O 2014 ซึ่งในปีนี้มีอะไรเด็ดๆ มาให้ตื่นเต้นกันบ้าง เราได้สรุปรวบตึง แบบกระชับ ชับไว อ่านง่าย เข้าใจเร็ว เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

 

และทุกครั้งในการเริ่มต้นเปิดงานก็จะมีการประกาศยอดตัวเลขเพื่อเกทับคู่แข่งกันตามธรรมเนียม โดย Mr.Sundar Pichai Senior Vice President ของ Google ได้ประกาศว่าในขณะนี้มีผู้ใช้แอนดรอยด์กว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน เรียบร้อยแล้ว

 

Android One
สิ่งแรกที่เปิดตัวในงาน Google I/O เลยก็คือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Google ในชื่อ Android One ที่เน้นราคาประหยัด โดยจะต้องมีราคาต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 3,000 บ. เป้าหมายคือต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ได้ โดยหวังว่ากว่า 190 ล้านคนทั่วโลก จะได้ใช้งานสมาร์ทโฟนในราคาและสเปกที่เหมาะสม โดยจะเริ่มจากประเทศอินเดียก่อน และให้บริษัท Micromax กับ Karbonn เป็นผู้ผลิต ซึ่งสเปกที่ต้องมีคือขนาดหน้าจอ 4.5 นิ้ว, รองรับ 2 ซิม, ใส่ SD Card ได้ และมีฟังก์ชั่นวิทยุ FM
googleio_2014_01

 

 

Android L
ถือเวลาปรับโฉมกันอีกแล้ว ซึ่งกูเกิ้ลได้เปลี่ยนคอนเซ็ปการในสร้างแอพและ UI ใหม่ โดยเรียกว่า Material Design ซึ่งแอบเห็นแวบๆ แล้วก็ออกแนว Flat Design นั่นเอง เอเหมือน iOS 8 เลยสินะ อิอิ โดยนักพัฒนาสามารถออกแบบกราฟิกแอนิเมชั่นให้สมูทมากยิ่งขึ้นเป็น 60 เฟรมต่อวินาทีได้ รับรอง 64 บิต และภาพ 3 มิติ นอกจากนี้ยังเพิ่มเรื่องการใช้พลังงานให้ประหยัดขึ้นเพื่อให้แบตอยู่ได้นานขึ้น ใน Project Volta

googleio_2014_02

 

 

Android Wear
เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android Wear สำหรับอุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถใช้งานระบบทัชสกรีนบน Smartwatch รุ่นต่างๆ ได้ ซึ่งมีการนำฟังก์ชั่นการ์ดบน Google Now มาใช้งานบนอุปกรณ์เหล่านั้น และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานร่วมกันได้ โดยรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพียงพูดว่า OK Google จากนั้นก็สั่งให้ สร้างโน้ต, บันทึกเตือนความจำ, ตั้งนาฬิกาปลุก, โทรศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในงานนี้มี Smartwatch เปิดตัวด้วยกัน 3 แบรนด์คือ LG G Watch, Samsung Gear Live และ Moto 360 โดย 2 รุ่นแรกคือ LG กับ Samsung สามารถสั่งซื้อออนไลน์บน Google Play Store ได้แล้ว และจะเริ่มส่งของในวันที่ 7 ก.ค.นี้ เฉพาะในสหรัฐก่อน

googleio_2014_03

 

Android Auto
มาแล้วกับแพลตฟอร์ตสำหรับหน้าจอบนรถยนต์ ที่เริ่มเปิดให้นักพัฒนาและพาร์ทเนอร์ด้านยานยนต์กว่า 40 ราย ได้พัฒนาระบบ โดยมันสามารถใช้งานร่วมกับ Google Now เช่นเมื่อเราออกจากออฟฟิศ ระบบจะคำนวณเส้นทางกลับบ้านให้อัตโนมัติ โดยซิงค์ข้อมูลจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนหน้าจอรถยนต์ให้ทันที รวมถึงรองรับการสั่งงานด้วยเสียง เช่น สั่งให้เปิดเพลง เล่นเพลงถัดไป หรือฟังเพลงออนไลน์จาก Google Play Music เป็นต้น เบื้องต้นมีแบรนด์ที่ร่วมพัฒนาแล้วอย่าง Hyundai, Porsche และ Acura

googleio_2014_04

 

 

Android TV
อีกสิ่งหนึ่งที่ Google พยายามแทรกเข้าไปอยู่ในตลาดห้องนั่งเล่นก็คือ Android TV ซึ่งหลังจากปล่อย Chromecast ออกมาเมื่อปีที่แล้วก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มาปีนี้เลยจัดเต็มมาเป็นจอทีวีไปเลย ซึ่งสามารถใช้ดูทีวีผ่านเสาอากาศตามปกติก็ได้ หรือจะดูรายการผ่านสตรีมมิ่งออนไลน์ต่างๆ แต่จุดเด่นที่สุดคือมันสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ โดยมีฟังก์ชั่น Google Voice Search ที่ให้เราสั่งค้นหารายการทีวีโชว์ต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเล่นเกมได้แบบมัลติเพลย์เยอร์ โดยที่เพื่อนของเราใช้ Android Tablet ในการเล่นด้วยกัน และยังคงมีฟีเจอร์การนำคอนเทนส์บนมือถือไปแสดงบนจอทีวีแบบเดียวกับ Chromecast ได้อีกด้วย ล่าสุด Sony และ Philips ได้นำระบบ Android TV ไปพัฒนาแล้ว

googleio_2014_05

 

 

Chromecast update
สำหรับ Chromecast ก็ไม่ได้ปล่อยลอยแพ ยังคงมีการอัพเดทความสามารถใหม่เพิ่มขึ้นมา โดยสามารถเชื่อมต่อสัญญาณกันได้ด้วยการค้นหาแบบ Near by ไม่ต้องพึ่งเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่ที่เรียกว่า Backdrop สามารถแสดงภาพในมือถือให้สตรีมขึ้นไปบนจอทีวีได้แล้ว พร้อมกับให้แสดงสภาพอากาศและข่าวสารได้อีกด้วย และสุดท้ายคือสามารถแสดงหน้าจอมือถือแบบ Miror Display ได้แล้ว

googleio_2014_06

 

 

Chromebook
สำหรับใครที่ใช้ Chromebook ต่อไปจะสามารถปลดล็อคเข้าใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ให้มือถือ Android อยู่ใกล้ๆ เครื่อง หรือหากใช้งานแอพพลิเคชั่นที่รองรับทั้ง 2 ระบบร่วมกันได้ ก็จะสามารถดูการแจ้งเตือน หรือใช้งานแอพผ่านบน Chromebook ได้เหมือนกับบนมือถือ เฮ๊ย!!! นี่มันคล้ายกับฟีเจอร์ใหม่ของ OS ขุนเขาแห่งหนึ่งในสหรัฐเลยนี่นา อิอิ…

googleio_2014_07

 

 

Business
สำหรับภาคธุรกิจก็มีการเจาะกลุ่มตลาดองค์กรมากขึ้นด้วยการแยกส่วนแอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรและส่วนตัวออกจากกันในได้เครื่องเดียว คล้ายๆ กับ Samsung Knox และยังได้เปิดบริการ Google Doc ที่มาเต็มครบทั้ง 3 แอพคือ Docs, Sheet และ Slide นอกจากนี้ในส่วนของ Google Drive ก็ให้ใช้พื้นที่ได้แบบไม่จำกัด โดยเสียค่าบริการเพียง 10 เหรียญสหรัฐ ต่อเดือน ต่อคน เท่านั้น

googleio_2014_08

 

 

Google Cloud
ส่วนนี้จะเป็นของนักพัฒนาแอพ ที่เป็นแพลตฟอร์มให้ทำงานร่วมกันบนคลาวด์ แล้วสามารถตรวจสอบ รันเทสโค้ดจากเครื่องต่างๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ

 

Google Fit
แพลตฟอร์ม Google Fit สำหรับคนรักสุขภาพ โดยจะเป็นศูนย์รวมข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ฟิตเนสต่างๆ ซึ่งจะรองรับได้ทุกอุปกรณ์ คล้ายกับแอพ HealthKit ของ Apple ที่เพิ่งเปิดตัวไป ดังนั้น Google Fit จะเป็นศูนย์รวมข้อมูลฟิตเนสของผู้ใช้ใว้ในที่เดียว และมีแบรนด์ที่เข้าร่วมแล้วอย่าง Nike, Adidas และ Withings

googleio_2014_09

 

 

Google Play Game
ต่อไปนี้สาวกเกม จะสามารถเซฟเกมขึ้นคลาวด์ได้แล้ว หมดปัญหาเวลาย้ายไปเล่นเครื่องอื่น รวมถึงเก็บรวบรวมสถิติการเล่น และดูลำดับผู้เล่นใน Leaderboards ได้

 

และนี้คือภาพรวมทั้งหมดของงาน Google I/O 2014 ที่เราจะได้สัมผัสในแต่ละเทคโนโลยีกันเร็วๆ นี้

 

เผยโฉม Moto 360 นาฬิกาอัจฉริยะที่ดูดีที่สุด ในบรรดา Android Wear ทั้งหมด

 

moto360lead

 

นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Smartwatch ม้ามืดที่มีข่าวลือออกมาก่อนงาน Google I/O อยู่พอสมควร ซึ่งสุดท้ายเมื่อเผยโฉมตัวจริงภายในงานนี้ ก็เป็นไปตามข่าวลือเป๊ะๆ

 

เรียกว่าเป็น Smartwatch ที่โดดเด่นที่สุดของงานนี้เลย เพราะด้วยดีไซน์หน้าปัดเป็นวงกลม เหมือนกับนาฬิกาแบบเข็ม จึงทำให้ Moto 360 เป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ ถึงการออกแบบหน้าจอระบบสัมผัสให้เป็นวงกลม โดยภายในรันระบบปฏิบัติการ Android Wear ตัวล่าสุดเช่นเดียวกัน และมาพร้อมฟีเจอร์หลักๆ อย่างการสั่งงานด้วยเสียง, ตรวจนับก้าว, ดูพยากรณ์อากาศ, รายงานนัดหมาย หรือแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นการนำฟีเจอร์ของ Google Now มาอยู่บน Smartwatch นั่นเอง

 

สำหรับตัวเรือนเป็นโลหะแต่หนาไปหน่อยนะ ส่วนสายที่ให้มาดูจากลักษณะน่าจะเป็นสาย PU พลาสติก แต่ตามข่าวระบุว่าจะมีสายหนังแท้ขายแยกให้ด้วย แต่แอบสังเกตที่หน้าจอจะมีส่วนท้ายที่เป็นพื้นดำซะงั้น สงสัยคงจะออกแบบหน้าจอได้สุดขอบแค่นี้

 

สำหรับ Moto 360 จะวางจำหน่ายถัดจาก LG G Watch และ Samsung Gear Live ไปประมาณอีก 1 เดือน ระหว่างนี้ก็ลองไปชมภาพยั่วกิเลสกันไปก่อน

 

DSC_0397-2040_verge_super_wide DSC_0389-2040_verge_super_wideDSC_0447-2040_verge_super_wide DSC_0445-2040_verge_super_wide DSC_0440-2040_verge_super_wide DSC_0436-2040_verge_super_wide DSC_0423-2040_verge_super_wide DSC_0422-2040_verge_super_wide DSC_0419-2040_verge_super_wide DSC_0408-2040_verge_super_wide DSC_0404-2040_verge_super_wide DSC_0379-2040_verge_super_wide DSC_0375-2040_verge_super_wide

 

Source : The Verge, Engadget

 

เปิดตัว Samsung Gear Live อีกหนึ่ง Android Wear จากงาน Google I/O

 

gear-live-03

 

เผยโฉมตัวเป็นๆ เรียบร้อยแล้วกับ Samsung Gear Live อุปกรณ์สวมใส่หรือ Wearable Device ซึ่งเป็น Smartwatch ตัวล่าสุดที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android Wear ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดสำหรับติดตั้งลงในอุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ โดยเพิ่งเปิดตัวไปในงาน Google I/O นั่นเอง

 

โดย Samsung Gear Live ยังคงมาในดีไซน์เดียวกับ Galaxy Gear, Gear 2, Gear Neo แต่ต่างกันตรงที่ก่อนหน้านี้ Galaxy Gear ทั้งหลายจะรันบนระบบปฏิบัติการ Tizen และ Android เป็นหลัก ทั้งนี้ Gear Live ยังติดตั้งเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้ ส่วนซีพียูความเร็ว 1.2 GHz, Ram 512 MB, หน่วยความจำภายใน 4 GB, หน้าจอทัชสกรีน 1.63 นิ้ว Super AMOLED 320×320 พิกเซล แบตเตอรี่ 300 mAh (น้อยกว่า LG G Watch) รองรับ Bluetooth 4.0 ขนาด 37.9 x 56.4 x 8.9 มม. น้ำหนัก 59 กรัม

gear-live-04gear-live-05

สำหรับฟีเจอร์การใช้งานยังคงทำได้เฉพาะฟีเจอร์หลักๆ ของระบบ Android Wear เช่น การนับก้าว, แสดงการพยากรณ์อากาศ และข้อมูลสำคัญจาก Google Now เป็นต้น ยังไม่เห็นว่าซัมซุงได้ใส่แอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมอะไรของตัวเองลงไปเหมือนอย่างรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ Gear Live สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่รันบน Android 4.3 Jelly Bean ขึ้นไปได้ทุกรุ่น และน่าจะทุกยี่ห้อด้วยครับ

gear-live-02

gear-live-01

 

Samsung Gear Live มี 2 สี ให้เลือกคือ ดำ กับ ไวน์แดง โดยจะวางจำหน่ายพร้อมกับ LG G Watch ใน Google Play Store ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ สนนราคา $199 เหรียญ หรือประมาณ 6,500 บาท

 

Source : Engadget, gsmarena, Techcrunch

 

iPhone 6 จะเปิดตัว 19 กันยายนนี้

 

iphone-611

 
หลังจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวันเปิดตัว iPhone 6 มาแล้วว่าจะเป็นวันที่ 19 กันยายนนี้ แต่วันนี้ก็มีข่าวออกมาอีกครั้งว่าจะเปิดตัวในวันดังกล่าวเช่นกัน

 

ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมาจากสื่อในประเทศจีน ซึ่งได้บอกว่า iPhone 6 จะเปิดตัวในวันที่ 19 กันยายน แต่ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะเปิดตัวพร้อมกันทั้ง 2 รุ่นหรือเปล่า

 

และนี้คือข่าวลือ ย้ำว่าข่าวลือ ความคืบหน้าของ iPhone 6 อีกหนึ่งสเต็ป ส่วนความชัดเจนจะเป็นไปได้มากแค่ไหนนั้น รอติดตามที่นี่ที่เดียวนะจะ

 

Source : Geeky-gadgets

 

WeChat 5.3 เปิดตัวบริการแปลภาษาใหม่ สื่อสารง่าย เข้าใจสะดวก ไม่พลาดความหมายอีกต่อไป

 

WeChat อัพเดทเวอร์ชั่นล่าสุดเป็น WeChat 5.3 แล้ว โดยใช้งานได้ทั้งบน iOS และ Android มาพร้อมด้วยประสบการณ์การใช้งานครบครันแบบ all-in-one ในแอพฯ เดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักผจญภัย นักล่าฝัน นักกีฬา หรือจะนักสังคมตัวยงระดับโลก WeChat ก็มีฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ครอบคลุมในทุกไลฟ์สไตล์

 

การอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าบริการแปลภาษาจะทำให้คุณเข้าใจความหมายของทุกข้อความได้อย่างชัดเจน โดยเมื่อเราสนทนากับเพื่อนชาวต่างชาติบริการนี้จะช่วยแปลเป็นภาษาของคุณให้ทันที WeChat ให้บริการฟีเจอร์ชั้นเยี่ยม ที่ช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้งานด้านโซเชียลได้อย่างเพลิดเพลิน พร้อมระบบรักษาความเป็นส่วนตัวที่ได้มาตรฐาน ช่วยทำให้สังคมโซเชียลของคุณนั้นทันสมัยและล้ำหน้ายิ่งกว่าใคร

 

พร้อมกันรึยังกับการท่องโลกการแชทที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าใคร

 

ไม่มีทางเข้าใจความหมายผิดอีกต่อไป
ด้วยบริการแปลภาษานี้ จะทำให้คุณเปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ได้หลายภาษา ไม่ว่าจะพูดคุยกับเพื่อนซี้ของคุณในเม็กซิโก อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส หรือแอฟริกาใต้ก็สามารถแชทคุยได้อย่างสะดวกสบายไร้กังวล ง่ายๆ เพียงคุณแชทด้วยภาษาของคุณ WeChat จะเป็นตัวช่วยในการแปลภาษาให้ทันที WeChat ให้บริการมากกว่า 20 ภาษา แต่มั่นใจได้เลยว่าการทำความเข้าใจภาษาต่างชาติจะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ฟีเจอร์การแปลภาษานี้จะทำให้การพูดคุยกับเพื่อนๆ ทั่วโลกเป็นเรื่องง่ายๆ เกินกว่าที่คุณเคยคาดคิดตลอดเวลาที่ผ่านมา

 

วิธีการแปลภาษาง่ายๆ เพียงกดที่ประโยคที่ต้องการแปลค้างไว้และเลือก “แปล

WeChat 5.3_(2) WeChat 5.3_(1)

 

 

เรามาเป็นสายลับกันเถอะ
เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้จะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์สุดมันส์เกินกว่าจินตนาการ ที่จะพาคุณไปสู่โลกแห่งการเป็นสายลับแบบที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณจะเป็นได้ ด้วยฟีเจอร์การสนทนาแบบกลุ่มผ่านพาสเวิร์ด ที่จะช่วยคัดกรองการสนทนาแบบกลุ่มกับคนที่คุณต้องการคุยด้วยเท่านั้นได้อย่างแยบยล โดยผู้ที่จะเข้าร่วมการสนทนาจะต้องใส่รหัสผ่าน 4 หลักที่คุณตั้งไว้เพื่อเข้าร่วมกลุ่มสนทนา ทำให้การสนทนาแบบกลุ่มมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยมากขึ้น การสนทนาแบบลับสุดยอดได้เริ่มขึ้นแล้ว …

 

เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ นี้: กดเข้าเมนูแชท>เลือกเครื่องหมาย “+” > “สนทนากลุ่ม” > “เข้าร่วมกลุ่มส่วนตัว” >ใส่รหัสผ่าน 4หลัก >“เข้าร่วมกลุ่มนี้”

 

WeChat 5.3_(3) WeChat 5.3_(4)

เข้าสู่โลกแห่งการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์กับ WeChat
WeChat ให้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ฟรีถึง 1GB โดยคุณจะสามารถเก็บได้ทั้งภาพโปรด ภาพวิดีโอ หรือเสียงที่อยากจดจำ ง่ายๆ เพียงกดไปที่สิ่งที่คุณต้องการบันทึกบนหน้าจอสนทนาของคุณ แล้วเลือก ‘Favorite’ ซึ่งไม่เพียงเก็บรูปภาพของคุณได้ แต่ยังเก็บได้ทั้งเสียง วิดีโอและข้อความที่สนทนากับเพื่อน ที่จะถูกบันทึกตรงไปยังคลาวด์ โดยคุณจะสามารถเรียกดูหรือฟังทั้งภาพ วิดีโอและข้อความที่บันทึกไว้นี้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ ผู้ใช้งานจะเข้าถึงสิ่งที่บันทึกไว้ได้จากสมาร์ทโฟนส่วนตัวและอุปกรณ์อื่นๆ ได้ทั้งหมด ฟีเจอร์นี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานเก็บบันทึกภาพความทรงจำหรือเรื่องราวอันประทับใจได้เป็นอย่างดี

WeChat 5.3_(5)

 

 

สติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กสื่อความหมาย แทนทุกความรู้สึก
ก้าวออกจากโลกแห่งความล้าสมัยมาสู่การส่งสติกเกอร์แทนความรู้สึกด้วยสติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กสุดน่ารักที่สามารถสื่อความรู้สึกได้มากกว่าเดิมจาก WeChat พร้อมสติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กชุดใหม่ล่าสุดวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Bit-Em-Up, Inky Baby, Boy A และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะแทนทุกความรู้สึกและสร้างรอยยิ้มให้เพื่อนๆ ทั่วทุกมุมโลกได้ง่ายๆ

WeChat 5.3_(6)

 

 

WeChat สร้างประสบการณ์ด้านโซเชียลที่ลื่นไหลไร้รอยต่ออย่างไม่มีที่ติ ให้คุณสนทนากับเพื่อนด้วยเสียง (Voice Call) หรือจะคุยกันให้มันส์ด้วยการเห็นหน้าผ่านวิดีโอ (Video Call) หรือถ้าคุณหลงทาง คุณสามารถใช้ฟีเจอร์ Location Share เพื่อหาเพื่อนของคุณพร้อมทั้งยังสามารถส่งเสียงแบบ Walkie-Talkie เพื่อให้เพื่อนช่วยบอกทางได้ นอกจากใช้งานง่ายแล้ว ยังสนุกและมีประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

 

WeChat เวอร์ชั่นล่าสุดพร้อมให้บริการแล้วและพร้อมที่จะส่งต่อประสบการณ์ด้านโซเชียลแบบเต็มรูปแบบให้แก่ผู้ใช้งาน ด้วยฟีเจอร์และฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยคุณสนทนากับเพื่อน คนที่คุณรัก และคนรู้จักใหม่ๆ ได้อย่างน่าจดจำ

 

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.wechat.com

 

วิธีตั้งค่าจำกัดการซื้อแอพบน Android Google Play ป้องกันเด็กซื้อเกิน

 
protect-purchase-app-1

 
จากที่เป็นข่าวการดาวน์โหลดของในเกมคุ๊กกี้รันจนทำให้มีค่าบริการสูงเกินกำหนด ซึ่งอาจเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นเรามาดูวิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้กันดีกว่า โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ค่อนข้างจะดาวน์โหลดแอพหรือไอเทมต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

 

ปกติแล้วหากเราทำการผูกบัญชีบัตรเครดิต หรือการหักเงินจากค่าบริการมือถืออย่างบริการ AIS Google Play ไว้กับบัญชี Google Play เวลาโหลดแอพแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นแอพเสียเงินหรือแอพฟรี ระบบจะถูกตั้งค่ามาตรฐานมาให้เป็น ไม่ต้องป้อนรหัสผ่านเวลาดาวน์โหลด นั่นจึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้หลายคนอาจจะพลาด โดยเฉพาะการปล่อยให้ลูกหลานเล่นเกมตามลำพัง ซึ่งอาจจะไปซื้อไทเทมหรือโหลดแอพที่ต้องเสียเงินได้โดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ควรเปิดการป้อนรหัสผ่านก่อนซื้อแอพเพื่อป้องกันเอาไว้

 

อันดับแรกให้เข้าสู่แอพ Play Store แล้วแตะที่เมนูมุมบนซ้าย จากนั้นแตะเข้าสู่การตั้งค่า แล้วเข้าไปที่เมนู ต้องป้อนรหัสผ่านเพื่อสั่งซื้อ
protect-purchase-app-01

 

จะมีตัวเลือกขึ้นมา แนะนำให้เลือกที่ สำหรับการสั่งซื้อทั้งหมดผ่านทาง Google Play บนอุปกรณ์นี้ หรือจะเลือกที่ ทุก 30 นาที ก็ได้หากเราต้องโหลดแอพเองบ่อยๆ จากนั้นก็ป้อนรหัสผ่านของแอคเคาท์ Google Play ที่ใช้งานอยู่ แล้วแตะ ตกลง

protect-purchase-app-02

 

สังเกตว่าตัวเลือกการป้อนรหัสผ่านเพื่อสั่งซื้อ ต้องเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขเดียวกับที่เราตั้งไว้ ห้ามเป็นตัวเลือก ไม่มี เหมือนตอนต้น

protect-purchase-app-03

 

คราวนี้เวลาใครจะโหลดแอพที่ต้องเสียตังค์ ก็จะต้องป้อนรหัสผ่านทุกครั้งก่อนดาวน์โหลด ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดอย่าให้ใคร โดยเฉพาะลูกของคุณทราบรหัสผ่านเป็นอันขาด ไม่ฉะนั้น ต่อให้ป้องกันยังไงก็ช่วยไม่ได้แล้วละครับ ก้มหน้าจ่ายตังค์ค่าบริการกันไปตามระเบียบ

protect-purchase-app-04

 

ผมลองซื้อเพชรในเกมคุ๊กกี้รัน เมื่อจะสั่งซื้อก็ต้องป้อนรหัสผ่านก่อนเช่นเดียวกัน งานนี้กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ โดยเฉพะาผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างเด็กๆ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเราในฐานะผู้ปกครองก็ควรป้องกันเอาไว้แต่แรก

protect-purchase-app-05

 

ส่วนใครที่ใช้ระบบการชำระเงินซื้อแอพ ผ่านค่าบริการรายเดือนหรือเติมเงินจากผู้ให้บริการรายต่างๆ เช่น AIS ฯลฯ ก็สามารถนำวิธีนี้ไปป้องกันได้เช่นเดียวกันครับ แต่หากใครไม่ชัวร์ก็ติดต่อยกเลิกบริการดังกล่าวไปเลยก็ได้ครับ น่าจะปลอดภัยที่สุด

 

สำหรับการป้องกันบน iPhone iPad คลิกอ่านในบทความ [TIPS] วิธีป้องกันเด็กกดซื้อแอพเล่น ในไอโฟน ไอแพด