และแล้วไมโครซอฟต์ก็ได้เปิดตัว Surface แท็บเล็ตตัวแรกของไมโครซอฟต์อย่างเป็นทางการในเมืองไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือว่าเราเป็น 1 ใน 29 ประเทศ แรกๆ ที่เปิดตัวและวางจำหน่าย Surface (เซอร์เฟซ) ถึงแม้ว่าใครหลายๆ คนอาจจะบ่นว่าช้ามาก กว่าจะมาถึงเมืองไทยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้สนใจมาต่อคิวจองก่อนถึงเ้วลาเริ่มจำหน่ายกันยาวเหยียด จนแถวล้นออกไปนอกทางเดินเชื่อมต่อ BTS ของห้าง Terminal21 กันเลยทีเดียว Continue reading สัมผัสตัวเป็นๆ กับ Surface แท็บเล็ตจากไมโครซอฟต์
Author: payakc
ฟีเจอร์ไหนที่ iOS 7 ก๊อปปี้เค้ามาบ้าง แซวขำๆ
คงมีหลายบล็อกที่รีิวิวฟีเจอร์ใหม่ของ iOS 7 ออกมากันเต็มไปหมดแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่อยากจะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวซ้ำอีก เพราะยังไงๆ ก็คงเป็นข้อมูลที่เหมือนๆ กัน เนื่องจากได้มาจากแหล่งข่าวเดียวกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมานั่งจับผิดกันดีกว่า ว่ามีฟีเจอร์ไหนบ้างที่ iOS 7 ก็อปปี้แอนด์เดเวล็อปเขามาบ้าง อิอิอิ
Control Center <เหมือน> Quick Bar บน Android
Quick Bar บน Galaxy S4
เปิดประเด็นแรกกันที่แถบควบคุมลัดหรือ Control Center ที่เพียงลากนิ้วบนหน้าจอจากล่างขึ้นบน ก็จะเปิดแถบนี้ขึ้นมา โดยจะมีปุ่มช็อตคัทต่างๆ เช่น เิปิด-ปิด WiFi, Bluetooth, Flight Mode, ไฟฉาย, นาฬิกาปลุก, เครื่องคิดเลข เป็นต้น ซึ่งเหมือนกับแถบควบคุมในหน้า Notifications บน Android 4.2 อย่างใน Galaxy S4 ที่จะมีแถบ Quick Bar ให้แตะเลือกเปิด-ปิดใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ แถมยังเพิ่มปุ่มควบคุมที่รองรับได้ตามต้องการอีกด้วย และที่สำคัญมันมีรองรับมาตั้งแต่รุ่น Galaxy S3, Note 2 แล้วนะจ๊ะ
Multitasking พรีวิวได้ <เหมือน> Windows Phone 8?
??
ถัดมาเป็นส่วนของการพรีวิวหน้าแอพที่รันค้างไว้แบบมัลติทาส์กกิ้ง ซึ่งจะแสดงหน้าแอพที่เปิดไว้ล่าสุดเอาไว้ด้วย จากเดิมที่เป็นเพียงแค่ไอคอน ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็คงได้แรงบันดาลใจมาจากกิ๊กเก่าอย่าง Windows Phone 8 นั่นเอง แต่แอปเปิ้ลก็ขอพัฒนาต่อยอดให้เหนือกว่าด้วยความสามารถในการรีเฟรชข้อมูลให้อัตโนมัติอย่างเช่น Facebook ที่จะอัพเดทข่าวใหม่ที่เข้ามาล่าสุดให้ทันทีเมื่อเรียกสลับแอพขึ้นมาใช้งาน แต่ได้ข่าวว่าจะทำให้กินแบตมากยิ่งขึ้น
Camera ใส่ฟิลเตอร์ก่อนถ่ายและหลังถ่ายได้ <เหมือน> Android
อยากจะตะโกนดังๆ ให้ไปถึงเฮียจ๊อบส์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้ยินเสียเหลือเกินว่าฟังก์ชั่นกล้องบน iPhone เนี่ย ล้าสมัยกว่าเค้าเสียทุกที อย่ามาใช้ข้ออ้างเรื่องคอนเซ็ปที่ต้องการให้ง่ายในการใช้งานอีกเลย เพราะถึงไงผู้ใช้ต้องหาแอพมาตกแต่งภาพกันอยู่ดี แต่ถ้ามีมาให้แต่แรกทุกอย่างก็จะได้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งในภายหลังให้ยุ่งยาก ซึ่งจุดนี้ บน Android Phone ทุกยี่ห้อ เค้าก็มีกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจะครับ เจ้านายยยยยยย
AirDrop ส่งไฟล์ผ่าน WiFi เดียวกัน <เหมือน> Samsung Link
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่ได้สดใหม่อะไร และใครๆ เค้าก็ทำได้กันมานานแล้ว สำหรับการโอนถ่ายไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน ซึ่งบน Mac OS ด้วยกันก็ทำได้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะปล่อยให้รองรับได้บน iOS ก็เท่านั้น ที่สำคัญ คู่ไม้เบื่อไม่เมาอย่าง Samsung ก็มีฟีเจอร์แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเมื่อก่อนใช้ชื่อว่า Samsung Kies พอมาเป็นบน S4 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อแอพว่า Samsung Link แทน
Safari สไลด์เลือกแท็บได้ <เหมือน> Chrome Browser
?Tab ใน Chromeหากใครเคยใช้ Chrome บน Android แล้วล่ะก็คงรู้ดีว่าเวลาที่เราจะสลับเปลี่ยนหน้าไปยังแท็บอื่นๆ ที่เปิดค้างไว้ก็เพียงแค่สไลด์ขึ้นๆ ลงๆ เลือกได้ตามสบาย แอปเปิ้ลเห็นแล้วคงอยากขออินเทรนด์กกับเค้าบ้างไรบ้างเลยจับมันใส่ลงใน Safari ของตัวเองเลยซะงั้น
App Store Auto Update อัพเดทแอพให้อัตโนมัติ <เหมือน> Play Store
อี๋! แอปเปิ้ลเพิ่งทำ ออโต้อัพเดทแอพได้เหรอเทอว์…นี่คงเป็นคำหยิกแกมหยอกจากสาวกแอนดรอยด์ด้วยความสะใจอย่างแน่นอน เพราะบน Play Store เค้าสามารถให้ผู้ใช้งานตั้งค่าอัพเดทแอพได้อัตโนมัติมานานแล้ว แต่สำหรับ App Store เพิ่งจะมาคิดได้ว่าเอ้…นี่สงสัยเราลืมอะไรไปรึเปล่านะ หุหุหุ
และนี่ก็เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ผมได้จับมาแซวเล่นๆ ขำๆ เท่านั้นนะครับ อย่างน้อยเชื่อว่าทุกอย่างที่แอปเปิ้ลได้พัฒนามา ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งานนั่นเอง โดยแอปเปิ้ลจะเริ่มปล่อยให้อัพเดทกันจริงๆ ก็ประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค. นี้ครับ ท้ายนี้ผมมีรูปจริงๆ ของ iOS7 เวอร์ชั่น Beta สำหรับนักพัฒนามาฝากให้ดูกันด้วยครับ
Facebook 6.2 อัพเดทใหม่ บน iOS เพิ่ม Feeling และกิจกรรมลงในสถานะโดยไม่ต้องพิมพ์
เช้านี้คงมีหลายคนได้ลองอัพเดท Facebook เป็นเวอร์ชั่นใหม่ 6.2 สำหรับผู้ใช้ iOS อย่าง iPhone/iPad โดยมีฟีเจอร์ใหม่้ที่เพิ่มขึ้นมานั่นคือ What Are You Doing? ซึ่งทำให้เราไม่้ต้องพิมพ์สถานะว่ากำลังรู้สึกยังไง หรือทำกิจกรรมอะไรอยู่ให้เสียเวลา่อีกต่อไป
เพียงแตะปุ่ีม Status แล้วแตะปุ่มรูปหน้ายิ้ม ก็จะมีรูปแบบกิจกรรมต่างๆให้เราได้เลือกใช้ เช่น Feeling จะมีรูปแบบอารมณ์ให้เราแนบไปกับสถานะ และเมื่อเปิดดูบนบราวเซอร์ จะแสดงเป็น Emoticon พร้อมคำอธิบายความรู้สึกเป็นภาษาไทยได้เลย ส่วนหมวดอื่นๆ อย่าง Playing ก็จะมีตัวเลือกของหน้าเพจตามกิจกรรมต่างๆมาให้ ซึ่งเมื่อแชร์ออกไปก็เท่ากับเป็นการแชร์หน้าเพจเหล่านั้นออกไปในตัวอีกด้วย จุดนี้ถือว่าอาจจะเป็นช่องทางในอนาคตที่เจ้าของแบรนด์ต่างๆ จะสร้างแคมเปญต่อยอดได้ ถ้า Facebook ยอมให้ในส่วนนี้
แต่สำหรับใครที่ปุ่ม Feeling หายไป ดูวิธีแก้ได้ที่ “วิธีนำปุ่ม FEELING ใน FACEBOOK ที่หายไป กลับคืนมา ใช้ได้ทั้ง IPHONE, IPAD, ANDROID”
เรื่อง @than_dplus
โนเกียเปิดตัว Nokia Asha 501 รุกตลาดสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยา เพียง 2,990 บ.
กรุงเทพฯ 19 มิถุนายน 2556 ? โนเกียเปิดตัว Nokia Asha 501 สมาร์ทโฟนสองซิมสมาชิกใหม่ตระกูล Asha
ขยายขีดจำกัดสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาในราคาเพียง 2,990 บาท ดีไซน์สีสันสุดแจ่ม ขนาดกระทัดรัด มอบประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค และเอื้อให้นักพัฒนาสร้างรายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
นายญาณธน สิมะวานิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ?Nokia Asha 501 ยกระดับดีไซน์และศักยภาพสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยา เป็นครั้งแรกที่เรานำการออกแบบและวัสดุคุณภาพระดับไฮเอนด์ของ
Nokia Lumia มาไว้ในสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาเพื่อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น? พร้อมเสริมว่า ?ไม่เพียงเท่านั้น ประสบการณ์การใช้งานยังได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อมอบประสิทธิภาพการใช้งานที่รวดเร็วกว่าเดิม เรียกได้ว่า
การสอดประสานกันระหว่างการออกแบบและวิศวกรรมภายในของ Nokia Asha 501 สามารถมอบทั้งสไตล์และการใช้งานระดับไฮเอนด์ ในราคาสบายกระเป๋า?
โดดเด่น เจิดจ้า สดใส
ตัวเครื่อง Nokia Asha 501 ทำจากโพลีคาร์บอเนตชั้นดี โดยมี 6 สีสันสดใสให้เลือก สวยงามโดดเด่นด้วยการประกอบขึ้นจากวัสดุเพียงสองชิ้น คือ ฝาครอบที่ถอดเปลี่ยนได้ และหน้าจอกระจกกันรอยขูดขีดขนาด 3 นิ้ว ระบบสัมผัสแบบ capacitive พร้อมปุ่ม back เพื่อให้กดย้อนกลับไปยังคอนเทนต์ก่อนหน้าได้อย่างง่ายดาย Nokia Asha ใหม่นี้มีขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเพียง 98 กรัมเท่านั้น พกพาไปมันส์ได้ทุกที่
ประสบการณ์ใหม่กับ Fastlane และแค่ swipe อะไรก็ง่ายขึ้น
Nokia Asha 501 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ชื่นชอบได้อย่างง่ายดายเพียงแค่วาดนิ้วบนหน้าจอ
โดยมีสองหน้าจอ คือ Home และ Fastlane โดย Home เป็นมุมมองหน้าจอแบบปกติ แสดงไอคอนต่างๆ เรียงกัน ให้เลือกใช้งานตามความต้องการ ขณะที่ Fastlane เป็นมุมมองหน้าจอพิเศษเพื่อเข้าถึงสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการใช้มากที่สุด เช่น รายชื่อผู้ติดต่อล่าสุด สังคมออนไลน์ และแอพที่แตกต่างกันของแต่ละคน ซึ่งจะถูกรวบรวมไว้ใน Fastlane
เรียกได้ว่าเป็นที่บันทึกการใช้งานโทรศัพท์ ให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบการใช้งานในอดีต สถานะในปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งให้ทำงานได้พร้อมกันหลากหลายฟังก์ชั่น และช่วยให้เข้าถึงฟีเจอร์โปรดได้อย่างง่ายดาย
แพลทฟอร์ม Asha สำหรับผู้บริโภคและนักพัฒนา
Nokia Asha 501 สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การใช้งานโทรศัพท์ที่ดีที่สุดในราคาย่อมเยา
แพลทฟอร์ม Asha มอบสิ่งแวดล้อมระบบเปิดที่เอื้อต่อการสร้างแอพเพื่อผู้บริโภค นักพัฒนาสามารถสร้างแอพเพื่อ Nokia Asha 501 แล้วสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์บนแพลทฟอร์ม Asha ทุกเครื่องในอนาคต โนเกียเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสร้างรายได้จากผู้บริโภคทั่วโลกผ่าน Nokia Store และเครื่องมืออย่างระบบการชำระเงินผ่านแอพ Nokia In-app Payment และ Nokia Advertising Exchange (NAX) รวมถึงระบบชำระค่าใช้จ่ายผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย (Operator Billing)
แอพนอกแอพไทย พร้อมให้มันส์ได้ทุกที่
แอพยอดนิยมส่วนใหญ่พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนแพลทฟอร์ม Nokia Asha และบางส่วนกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา อาทิ CNN, eBuddy, ESPN, Facebook, Foursquare, Line, LinkedIn, Nimbuzz, Pictelligent,
The Weather Channel, Twitter, WeChat, World of Red Bull และหลากหลายเกมส์จาก Electronic Arts, Gameloft, Indiagames, Namco-Bandai, Reliance Games และค่ายเกมส์ไทยอย่าง Game Square Interactive
Nokia Asha 501 มาพร้อมเกมส์สนุกๆจากนักพัฒนาไทยและเทศ 9 เกมส์ พร้อมให้ใช้งานบนตัวเครื่อง และเปิดให้ดาวน์โหลดเกมส์ดังจากค่าย EA 40 เกมส์ได้ฟรี ให้คุณสนุกมันส์ได้ทุกที่ นอกจากนี้ บริการ HERE ซึ่งเป็นบริการโลเคชั่นชั้นนำของโนเกีย จะพร้อมให้ดาวน์โหลดบน Nokia Asha 501 ภายในไตรมาส 3 ปี 2556
ประสบการณ์อินเตอร์เน็ตเฉพาะตัวและฉลาดขึ้น
Nokia Asha 501 มาพร้อม Nokia Xpress Browser ซึ่งช่วยบีบอัดข้อมูลได้ถึง 90% ช่วยให้การท่องเว็บบนมือถือรวดเร็ว และประหยัดขึ้น นอกจากนี้ ยังมี Nokia Xpress Now เว็บแอพที่มอบประสบการณ์คอนเทนท์โดยยึดจากพื้นที่ที่ผู้ใช้งานอาศัยอยู่ สิ่งที่ชื่นชอบ และกระแสสังคมต่างๆ (trend) โดยใช้ผ่านหน้าหลักเบราเซอร์ หรือดาวน์โหลดจาก Nokia Store
การวางจำหน่าย
Nokia Asha 501 สมาร์ทโฟนสองซิม รองรับ WiFi มีขนาด 99.2x58x12.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 98 กรัม กล้อง 3.2 เมกะพิกเซล สามารถรอรับสายได้นาน 26 วัน สนทนาได้นานถึง 17 ชั่วโมง ฟรีการ์ดความจำ 4 GB สามารถขยายได้ถึง 32GB มี 6 สีให้เลือก คือ แดงสด เขียวสด ฟ้า เหลือง ขาวและดำ จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 25 มิถุนายน 2556 นี้ในราคา 2,990 บาท ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nokia.co.th/asha
[PR]ซัมซุงเผยโฉม “ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4” ครั้งแรกของโลกกระหึ่มนิวยอร์ค สมาร์ทโฟนใหม่ เพื่อนคู่หูเพื่อชีวิตที่เข้มข้น เรียบง่าย และเติมเต็มกว่าเดิม
นิวยอร์ค – 15 มีนาคม 2556 – สิ้นสุดการรอคอยสำหรับแฟนซัมซุง กาแล็คซี่ หลังซัมซุงเปิดตัว “ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 (Samsung Galaxy S4)” อย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกในโลกกระหึ่มมหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในงาน “Samsung Mobile Unpacked 2013 Episode 1” ณ เรดิโอซิตี้ มิวสิคฮอลล์ โชว์สุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฟนภายใต้แนวคิด “Life Companion” เพื่อนคู่หูเพื่อชีวิตที่เข้มข้น เรียบง่าย และเติมเต็มกว่าเดิม (Richer, Simpler and Fuller)
มร. เจเค ชิน ประธานกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ประกาศเปิดตัว ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 สมาร์ทโฟนเจเนเรชันที่สี่จากตระกูล กาแล็คซี่ เอส ที่ได้รับการออกแบบให้ผู้ใช้สัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและนำโลกทั้งโลกของผู้ใช้มาอยู่รวมกัน เพราะซัมซุงเข้าใจว่าสิ่งที่มีความสำคัญกับเรามากที่สุดในชีวิตของคืออะไร ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 จึงได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อนิยามวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนเสียใหม่เพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้เต็มที่ยิ่งขึ้น สมาร์ทโฟนที่ล้ำสมัยรุ่นนี้จะทำให้ทุกช่วงเวลาในชีวิตมีความหมาย เพราะเป็นสมาร์ทโฟนที่เข้าใจคุณค่าของความสัมพันธ์ จึงช่วยทำให้เชื่อมต่อกับเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวได้อย่างแท้จริง ทั้งยังทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ไร้ความยุ่งยาก และยังช่วยดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้
ความงดงามของ ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 อยู่ที่การออกแบบอันประณีตงดงาม ประกอบไปด้วยหน้าจอ Full HD Super AMOLED ขนาด 5 นิ้ว และแบตเตอรี่ที่จุขึ้นถึง 2,600 mAh เพรียวบางกว่าเดิมแต่แข็งแรงยิ่งขึ้น ด้วยขอบจอที่บางลง ในน้ำหนักที่เบาเพียง 130 กรัม และบางเพียง 7.9 มิลลิเมตร ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 เจลลี่บีน พร้อมคุณสมบัติที่น่าทึ่งมากมาย อาทิ
- กล้องหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมสุดยอดฟังก์ชันในการถ่ายภาพ อาทิ Dual Camera สามารถถ่ายภาพจากกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันในเวลาเดียว เวลาถ่ายวีดีโอ ผู้ถ่ายก็สามารถเข้าไปอยู่ในวีดีโอได้ Sound & Shot การเพิ่มเสียงเข้าไปในรูปภาพเพื่อความประทับใจยิ่งขึ้น Drama Shot ยกระดับจาก Burst Shot ร้อยเรียงรูปหลายรูปเป็นรูปเดียว และ Eraser Shot สามารถลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่าย
- ฟังก์ชันสุดล้ำอย่าง Samsung Smart Pause และ Samsung Smart Scroll ที่ยกระดับจาก Smart Stay ให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยการควบคุมการทำงานของหน้าจอผ่านดวงตา ที่จะเลื่อนขึ้นลงตามจังหวะการกะพริบตา และขณะชมวีดีโอ วิดีโอจะหยุดอัตโนมัติถ้าผู้ใช้ละสายตาจากหน้าจอ และเล่นต่อโดยอัตโนมัติเมื่อกลับมามองหน้าจอใหม่
- Air Gesture หลากหลายฟังก์ชันที่รู้ใจผู้ใช้ ช่วยให้ทำงานได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เพื่อชีวิตง่ายและสะดวกสบายขึ้น เช่น Finger Air View ที่ผู้ใช้สามารถดูคอนเทนท์ในโฟลเดอร์หรืออีเมลล์ได้โดยไม่ต้องเปิดโฟลเดอร์นั้นๆ เพียงแค่ใช้นิ้วไปจ่อไว้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ Air Browse ใช้มือปาดซ้ายขวาเพื่อดูรูปโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ หมดกังวลเวลาขับรถหรือมือเลอะ Air Call Accept ใช้มือปาดซ้ายขวาเพื่อรับสาย โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ และ Glove Touch ใช้โทรศัพท์ได้สะดวกแม้ขณะใส่ถุงมือ
- ฟังก์ชันที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัว อาทิ Story Album สร้างนิตยสาร หรือสแครปบุ้คของตนเอง และสั่งพิมพ์ออกมาได้เลยพร้อมจัดส่ง รองรับ 70 ประเทศ โดยมีค่าใช้จ่าย 10 – 30 เหรียญสหรัฐ ต่อ 20 หน้า Group Play เพียงแค่แตะเครื่องเข้าด้วยกัน ก็สามารถแชร์เพลงกันระหว่างเพื่อนได้ง่ายดาย
- S-Health ผู้ช่วยในการดูแลสุขภาพ อาทิ การนับแคลอรี่ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดอุณหภูมิและความชื้น เป็นต้น
- ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 มีฟังก์ชัน S Voice สนับสนุนการใช้งานถึง 9 ภาษา และมีฟังก์ชันต่างๆ ในการช่วยลบข้อจำกัดในการสื่อสารข้ามภาษา เช่น การเปลี่ยนเสียงจากภาษาหนึ่งเป็นข้อความอีกภาษาหนึ่งได้โดยอัตโนมัติ ฟังก์ชันที่ทำให้เหมือนมีสมุดภาษาติดตัว ด้วยการจัดหมวดหมู่ของข้อความต่างๆ ที่มีการใช้บ่อย โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
- นอกจากนี้สมาร์ทโฟนสุดล้ำรุ่นนี้ยังสามารถปรับหน้าจอให้เหมาะกับคอนเทนท์ที่กำลังใช้งานอยู่โดยอัตโนมัติเพื่อประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์แบบ และยังมี S Voice Drive ที่จะช่วยทำทุกอย่างแทนขณะขับรถอยู่ และ Samsung Knox ยังสามารถแยกการใช้งานสมาร์ทโฟนระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้อีกด้วย
ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส 4 มีสองสีให้เลือก คือ ดำ (Black Mist) และขาว (White Frost) จะเริ่มวางจำหน่ายผ่าน 327 โอเปอเรเตอร์ใน 155 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ทรู อินเทอร์เน็ต ร่วมกับ ซิสโก้ ยกระดับมาตรฐานความเร็ว อินเทอร์เน็ตแบ็คโบน 100 กิกะบิต
กรุงเทพฯ –11 มีนาคม 2556 – ทรู อินเทอร์เน็ต ร่วมกับซิสโก้ ประเทศไทย เพิ่มศักยภาพการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง ติดตั้งระบบสวิตซ์ Cisco Nexus 7000 มาตรฐานระดับโลกจากซิสโก้ ซึ่งได้รับการออกแบบโดยเฉพาะ ด้วยการยกระดับอินเทอร์เน็ตแบ็คโบนเป็น 100 กิกะบิตต่อวินาทีรายแรกในเอเชียด้วย Cisco Nexus 7000 ตอกย้ำความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องทั้งด้านประสิทธิภาพและเสถียรภาพการให้บริการของทรู อินเทอร์เน็ต สนองความต้องการใช้งานลูกค้ากลุ่มทรูให้สามารถใช้งานเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพสูงสุด
การอัพเกรดอินเทอร์เน็ตแบ็คโบนในครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีในด้านเทคโนโลยี ระหว่างซิสโก้และทรู ที่มุ่งมั่นที่พัฒนาและปรับปรุงศักยภาพโครงข่ายการให้บริการสื่อสาร ความพร้อมใช้งานของเครือข่ายแบ็คโบนเพื่อรองรับการใช้งานขององค์กรธุรกิจที่มีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
นายวสุ คุณวาสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันการใช้งานอินเทอร์เน็ตในไทยมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการให้บริการด้านเครือข่ายข้อมูลหรือ Data Network Service นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพบริการให้ดียิ่งๆขึ้น บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตครบวงจร ได้พัฒนาการให้บริการด้านเครือข่ายข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องล่าสุด เป็นรายแรกในเอเชียที่ได้อัพเกรดอินเทอร์เน็ตแบ็คโบนเป็น 100 กิกะบิตต่อวินาทีด้วย Cisco Nexus 7000 ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถรองรับแนวโน้มการใช้งานของลูกค้าที่มีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในอนาคต ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ Cisco Nexus 7000 ทำหน้าที่เป็นคอร์เน็ตเวิร์คของแพลตฟอร์มสวิตซ์ที่ผนวกความสามารถทางด้าน อีเทอร์เน็ต, ไอพี และสตอเรจ ไว้บนเครือข่ายเดียวกันอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Cisco Unified Service Delivery ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ปัจจุบันมีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการติดตั้ง Cisco Nexus 7000 แพลตฟอร์มแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับขนาดได้ครั้งนี้ จะ ช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถส่งข้อมูลหรือวิดีโอจากดาต้าเซ็นเตอร์อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพสูงสุด ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ผสานความสามารถด้านอีเทอร์เน็ตและสตอเรจไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้เซิร์ฟเวอร์ทุกเครื่องสามารถเข้าถึงทรัพยากรเครือข่าย (Network Resources) และสตอเรจทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ดร. ธัชพล โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า “ปัจจุบันเน็ตเวิร์คเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การเกิดขึ้นของ ‘Internet of Everything’ ความต้องการด้านวิดีโอ คลาวด์ และการบริการด้านโมบายล์กำลังผลักดันให้องค์กรธุรกิจต่างๆสร้างอำนาจในการเชื่อมต่อ (Power of Connections) และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆจากการเชื่อมต่อ รวมถึงทำให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ตจะมีการแข่งขันที่สูงมากในการให้บริการเครือข่ายข้อมูล (Data Network Service) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ลูกค้า ทรู อินเทอร์เน็ตได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำการให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจรโดยมุ่งมั่นพัฒนา และนำเสนอการบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงให้แก่ลูกค้ามาโดยตลอด ซิสโก้มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาอัพเกรดอินเทอร์เน็ตแบ็คโบนเป็น 100 กิกะบิตครั้งนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของซิสโก้และมั่นใจว่าทรู อินเทอร์เน็ตจะลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ให้การบริการเวอช่วลที่ปลอดภัย และมีความพร้อมในการใช้งานของเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ กำหนดทิศทาง “เทคโนโลยีช่วยพัฒนาชีวิตผู้คนให้ดีขึ้น”
กรุงเทพฯ 12 มีนาคม 2556—วันนี้ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำถึงพันธสัญญาในการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสู่ประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัท “We Make 70 Million Lives Better” โดยในงานแถลงข่าวครั้งนี้ นายฮาเรซ คูบจันดานิ กรรมการผู้จัดการคนใหม่ ได้เน้นถึงแนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของไมโครซอฟท์ที่ว่า “เทคโนโลยีนั้นสามารถเปลี่ยนโลกและเปลี่ยนชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นได้”
นายฮาเรซ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ โดยได้ร่วมงานกับไมโครซอฟท์มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี โดยก่อนหน้านี้ นายฮาเรซ เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยเขาสามารถสร้างการเติบโตให้กับไมโครซอฟท์ อินโดนีเซีย สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์
ในงานแถลงข่าว นายฮาเรซ ได้ตอกย้ำถึงชื่อเสียงของไมโครซอฟท์ในฐานะองค์กรที่เด็ดเดี่ยวและกล้าเผชิญกับความท้าทายที่ยากลำบากเพื่อที่จะนำเทคโนโลยีมาสู่ผู้คนในวงกว้าง “ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าที่ว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนโลกและช่วยพัฒนาชีวิตของผู้คน ทำให้ไมโครซอฟท์ทำในสิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้ เป็นระยะกว่า 20 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ที่ไมโครซอฟท์ได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ คู่ค้า ลูกค้า เอ็นจีโอ และองค์กรต่างๆ มุ่งมั่นที่จะนำสิ่งที่ดีสู่สังคมไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “We Make 70 Million Lives Better” โดยเน้นให้ความรู้ถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีและการเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อสร้างโอกาสที่ดีกว่า” นายฮาเรซกล่าว
“ไมโครซอฟท์ ไม่ได้มีแต่ความเชื่อในการสร้างโอกาสให้กับผู้คนไม่ว่าจะเป็นพนักงานของเราหรือคนในสังคม แนวคิด “people-centric” ของไมโครซอฟท์ยังได้หยั่งรากลึก ตั้งแต่ยุคของการปฏิวัติการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเทคโนโลยีจะต้องถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อผู้ใช้อย่างดีที่สุดโดยไม่มีข้อแม้ สำหรับไมโครซอฟท์แล้วคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ส่วนบุคคล” ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ไปจนถึงอุปกรณ์ไอทีที่ทันสมัยบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 หรือมือถือบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน 8 โดยในวันนี้ แนวคิดของไมโครซอฟท์ได้ขยายจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มาสู่เว็บ สู่โลกของอุปกรณ์ และคลาวด์ คอมพิวติ้ง”
นอกจากนี้ นายฮาเรซ ยังได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ที่มีต่อพันธมิตรคู่ค้า ว่า “แนวคิด partner-centric เป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์ยึดถือตั้งแต่เราเริ่มทำธุรกิจ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกำหนดความสำเร็จของเราในยุคของคอมพิวเตอร์พีซี และสร้างความแตกต่างให้กับเราในวันนี้ เมื่อเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคอุปกรณ์และบริการ (Devices and Services Era) ไมโครซอฟท์ได้ให้การสนับสนุนพันธมิตรและระบบอีโคซิสเต็มในประเทศไทยในการขยายธุรกิจให้กว้างมากขึ้น ด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและบริการอย่างไม่เคยมีมาก่อน”
ทั่วโลก ไมโครซอฟท์ ได้ทำงานร่วมกับบริษัทพันธมิตรมากกว่า 640,000 ราย ซึ่งพวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างของไมโครซอฟท์ พัฒนาธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เครือข่ายพันธมิตรคู่ค้าของไมโครซอฟท์ในประเทศไทย (Microsoft Partner Network) มีจำนวน 1,140 ราย จาก ผลการศึกษาล่าสุด พบว่าทุก 1 เหรียญสหรัฐที่ไมโครซอฟท์สร้างรายได้ ไมโครซอฟท์สามารถช่วยให้พันธมิตรของเรานำไปสร้างรายได้ต่อได้มากกว่า 8 เหรียญสหรัฐ
นายฮาเรซ ได้กล่าวถึงการที่ไมโครซอฟท์กำลังก้าวเข้าสู่บริษัทที่ให้บริการสำหรับอุปกรณ์และด้านบริการ (devices and services) ว่า “ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น มีการเคลื่อนที่ และพวกเขารู้ว่าเทคโนโลยีสามารถสร้างผลกระทบที่ดีให้กับพวกเขาได้อย่างไรบ้าง ผู้คนเหล่านี้จะติดต่อและเชื่อมโยงถึงกันด้วยอุปกรณ์และบริการรูปแบบใหม่ จะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ที่เข้าไปอยู่ในอุปกรณ์และบริการต่างๆ ทั้งในตลาดผู้บริโภคและกลุ่มองค์กรธุรกิจ ไมโครซอฟท์ได้ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์และบริการ (devices and services) โดยมีซอฟต์แวร์รองรับมากขึ้น โดยแนวคิดนี้ได้ขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคและบริการด้านธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ เราจึงลงทุนมหาศาลไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างและเปิดโอกาสให้กับนักพัฒนาหน้าใหม่ รวมถึงพัฒนาโซลูชั่นสำหรับอุปกรณ์ที่หลากหลายที่เชื่อมต่อกับคลาวด์คอมพิวติ้ง”
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะพันธมิตรที่มีความน่าเชื่อถือ (Trusted Partner) ที่ทำงานร่วมกับภาคธุรกิจ ชุมชน และภาครัฐ ในการร่วมพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจให้เติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนมุ่งสู่คลาวด์ คอมพิวติ้ง ไมโครซอฟท์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำในเรื่องของความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนต่างมุ่งสู่คลาวด์ คอมพิวติ้ง “เราไม่หยุดยั้งในการพัฒนาและดำเนินการปกป้องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าของเรา ลูกค้าองค์กรธุรกิจสามารถไว้วางใจได้ว่าไมโครซอฟท์ได้พยายามอย่างเต็มที่จะช่วยเหลือและปกป้องข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญของลูกค้าของเรา ส่วนผู้บริโภค พวกเขาสามารถไว้วางใจไมโครซอฟท์ได้ว่าเราจะไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือนำข้อมูลไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โปรแกรมความน่าเชื่อถือในการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือ The Trustworthy initiative ที่ได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2545 ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไมโครซอฟท์ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการได้ระบุไว้ในเว็บไซต์ Trust Center ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้” นายฮาเรซ อธิบายเพิ่มเติม
WeChat จัดหนัก เปิด Group Chat The Star 9 ให้แฟนคลับได้ตามติดแบบสดๆ ก่อนใคร
WeChat ส่งตรงความพิเศษถึงมือแฟนคลับ The Star 9 เปิด Group Chat The Star 9 ของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 8 ท่าน ให้ร่วมกันแชท แชร์ และแลกเปลี่ยนสิ่งที่ชื่นชอบ เพียงสแกน QR code ของ Group Chat The Star 9 เพื่อแชทผ่าน Group Chat ใน WeChat หรืออีกช่องทางหนึ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการแชทในหน้าเว็บไซต์ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์พิเศษของสนุกดอทคอมที่ให้ข้อมูลเชิงลึกของ The Star 9 ที่ http://thestar.sanook.com/ จะพบหน้า QR Code ของผู้เข้าแข่งขัน The Star 9 ที่ท่านชื่นชอบไว้ให้ดาวน์โหลด
เพื่อติดตามแชทกับผู้เข้าแข่งขัน The Star 9 สดๆ ผ่าน Sanook! Live Chat* สาวกทั่วประเทศจะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารแชทสดๆ ก่อนใคร พร้อมข้อมูลลับ แบบล้วงลึก กันเองสุดๆ ตอบทุกคำถามกับแฟนคลับ และยังได้สนุกกับไอคอนดุ๊กดิ๊ก Emoticons สุดเก๋ ไม่ซ้ำใครสำหรับ The Star 9 Group Chat โดยเฉพาะ ติดตามข่าวสารและวันเวลา Live Chat ได้ที่ ‘The Star Today’ official account หรือเว็บไซต์ http://thestar.sanook.com/ ชอบคนไหนมาสแกนกันเลย!
หมายเหตุ* สำหรับการ Live Chat พูดคุยสดๆ จะใช้แชตกับผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ได้ผ่านเข้ารอบหลังจากการประกาศผลในวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์เท่านั้น โดยวันและเวลาในการ Live Chat จะมีการประกาศตามแต่ละสัปดาห์หลังการประกาศผลในวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์
Hottest tech gear this month & the threat of Anonymous
“Android is not in my world. It’s not in my attention span most days. Thinking about the iOS app is a full-time job, and staying competitive on iOS is a full-time job.” This quote comes from Instapaper creator Marco Arment not even three weeks ago in an interview with Joshua Topolsky on On The Verge.
Evidently, Arment was keeping a pretty big secret. Instapaper for Android launches today for $2.99 on smartphones and tablets, and you can find it in the Google Play Store and soon in the Amazon App Store and Nook Store. What makes the app launch so significant is that aside from Instagram and Flipboard, Instapaper might just be the next-most-desired (and elusive) Android app ever. The excitement surrounding a possible Instapaper Android app has not been just because people wanted the app itself, but also because creator Arment often publicly expressed distaste for building on Android — almost out of principle. "I think it was the success of the Kindle Fire and the Nook that tipped my hand," Arment told us.
So, he entrusted the Instapaper name to developer Mobelux, which has previously built Tumblr for iPhone and Android, as well as Carousel, a handsome Instagram viewer for Mac. Mobelux wasn’t the winner of the app-building challenge Arment started in jest, but was instead a great fit with a compatible heritage. Arment met Mobelux co-founder and Creative Director Jeff Rock all the way back in 2008 when Tumblr was in talks to buy Rock’s Tumblrette Tumblr client for iPhone. Arment (still full-time at Tumblr) got to know Rock and his team, who quickly became the backbone of Tumblr’s mobile app strategy.
Design / UI
[frame src=”http://www.thorakhong.com/wp-content/uploads/2012/11/entry_img_3.jpg” link=”” target=”_self” width=”182″ height=”274″ alt=”” align=”left” prettyphoto=”false”]
The excitement surrounding a possible Instapaper Android app has not been just because people wanted the app itself, but also because creator Arment often publicly expressed distaste for building on Android — almost out of principle. “I think it was the success of the Kindle Fire and the Nook that tipped my hand,” Arment told us.
Evidently, Arment was keeping a pretty big secret. Instapaper for Android launches today for $2.99 on smartphones and tablets, and you can find it in the Google Play Store and soon in the Amazon App Store and Nook Store. What makes the app launch so significant is that aside from Instagram and Flipboard, Instapaper might just be the next-most-desired (and elusive) Android app ever.
"Android is not in my world. It’s not in my attention span most days. Thinking about the iOS app is a full-time job, and staying competitive on iOS is a full-time job." This quote comes from Instapaper creator Marco Arment not even three weeks ago in an interview with Joshua Topolsky on On The Verge.