หิ้วมาเรียบร้อย! iPhone 6s และ 6s Plus เห็นตัวจริงครั้งแรกธรรมด๊าธรรมดา (เหมือน iPhone 6) แต่พอได้สัมผัสรู้เลยว่ามันไม่ได้มีดีแค่เติม “S” จะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลยค่ะ
ดีไซน์เดิมแต่วัสดุแข็งแรงกว่าเก่า
เป็นที่รู้กันว่า Apple ไม่ค่อยเปลี่ยนดีไซน์รุ่นที่เติม ‘s’ สักเท่าไหร่ หลายคนจึงตั้งตารอดูสเปคเทพอย่างเดียว จนลืมไปว่าวัสดุที่ใช้รุ่นนี้ Apple การันตีไม่มีงอ! เพราะเปลี่ยนอะลูมิเนียมใหม่เป็น Aluminum Zinc ที่ใช้บนเครื่องบินและยาน
ขนาดและน้ำหนัก
ขนาดของตัวเครื่อง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 0.1 มม. บางลงกว่าเดิม 0.2 มม. เรียกว่าแทบไม่รู้สึกต่าง! ส่วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 20 กรัม เพราะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมรุ่นใหม่นั่นแหล่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนักกว่ามากสักเท่าไหร่ ถือว่าข้อนี้ผ่านเพราะแลกกับความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น และด้วยขนาดที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถใช้เคส รวมทั้งฟิล์มกันรอยร่วมกับ 6 และ 6 Plus รุ่นก่อนได้อย่างไม่มีปัญหา
ปุ่ม Touch ID เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปุ่ม Touch ID (หรือปุ่ม Home) ถูกปรับปรุงให้ทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า หลังจากทดสอบสแกนลายนิ้วมือปลดล็อคเข้าสู่หน้า Home จะรู้สึกทันทีว่า “โอ้ว..มันเร็วมาก” แทบไม่เห็นหน้า Lock Screen บอกเลยว่าแตกต่างกับรุ่นก่อนชัดเจน
3D Touch สัมผัสอัจฉริยะบนหน้าจอ
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Force Touch ที่ใช้กับนาฬิกา Apple มากันบ้างแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้ถูกนำมาใช้บน iPhone รุ่นใหม่นี้เช่นกัน ในชื่อ 3D Touch เป็นการใช้ “ความหนัก-เบาของการกดหน้าจอ” เพื่อเรียกเมนูลัดของแอพขึ้นมาโดยไม่ต้องเปิดแอพ แต่ฟีเจอร์นี้จะรองรับเฉพาะแอพที่มาพร้อมเครื่อง มีบางแอพเท่านั้นที่ยังใช้ไม่ได้ เช่น แอพ Photo, Weather, Stocks ส่วนผู้พัฒนาแอพอื่นๆก็เริ่มทยอยเพิ่มฟีเจอร์นี้ลงในแอพกันบ้างแล้ว
กล้อง 12 ล้านแล้ว..มาเล่นกันเถอะ!
ทั้ง 6s และ 6s Plus เพิ่มความละเอียดของกล้องหลังจากเดิม 8 ล้านพิกเซล มาเป็น 12 ล้านพิกเซล ส่วนรุ่น 6s ยังคงไม่มีระบบกันสั่นสะเทือนแบบออฟติคอล หรือ OIS (Optical Image Stabilization) เหมือนกับ 6s Plus เช่นเดิม เสียใจอ่ะ!
ซึ่งระบบ OIS นี้จะมีประโยชน์ก็เมื่อเราถ่ายภาพในสภาพที่แสงน้อยๆแล้วมือไม่นิ่งนั่นเอง แต่หากถ่ายภาพที่แสงปกติ ทั้งสองรุ่นยังคงถ่ายภาพได้ยอดเยี่ยมไม่แตกต่างกัน ส่วนกล้องหน้า เพิ่มความละเอียดเป็น 5 ล้านพิกเซล เอาใจหนุ่มๆสาวๆในการถ่ายภาพเซลฟีโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเพิ่ม Retina Flash ที่ใช้แสงไฟบนหน้าจอมาเป็นแฟลช ช่วยให้หน้าสว่างขึ้นได้
มาถึงเรื่องการถ่ายวิดีโอกันบ้าง ทั้ง 2 รุ่นรองรับความละเอียดระดับ 4K (3840×2160 พิกเซล) ที่ความเร็ว 30 fps ช่วยให้วิดีโอคมชัดมากยิ่งขึ้น สำหรับ iPhone 6s ที่ไม่มีระบบกันสั่น OIS เหมือนกับรุ่น 6 Plus ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะแอปเปิลใช้ระบบกันสั่น Digital stabilization เพื่อลดความเบลอของภาพเนื่องจากมือไม่นิ่งมาช่วยแทน อย่างไรก็ตามการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K ถึงแม้จะได้วิดีโอที่คมชัด แต่ก็ต้องแลกกับพื้นที่จัดเก็บที่มากขึ้น ซึ่งหากเราคิดว่าไม่จำเป็นที่ต้องถ่ายความละเอียดขนาด 4K ก็สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Photos & Camera > Record Video
สเป็คและประสิทธิภาพการทำงาน
มาดูฝั่งฮาร์ดแวร์กันบ้าง ทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus เปลี่ยนมาใช้ ชิบ A9 Dual-Core 1.8 GHz. ที่ประมวลผลได้เร็วแรงกว่าเดิม เพิ่ม RAM เป็น 2 GB จากเดิม 1 GB ที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone 5 ความจุแบตเตอรี่ของ 6s อยู่ที่ 1715 mAh และ 6s Plus อยู่ที่ 2750 mAh (ส่วน 6 และ 6 Plus อยู่ที่ 1,810 และ 2,915 mAh ตามลำดับ) จะเห็นว่าความจุแบตน้อยลง แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ iOS 9 จะทำให้ใช้งานได้นานเท่าความจุเดิมของรุ่นก่อน
ดูตารางเปรียบเทียบสเป็ค iPhone 6s และ 6s Plus
iOS 9 ที่ชาญฉลาดขึ้นกว่าเดิม
มาที่ iOS 9 ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 6s และ 6s Plus ได้รับการปรับปรุง และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเพื่อรองรับกับไอโฟนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น เช่น
Live Photos
เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในแอพ Camera ซึ่งฟีเจอร์นี้จะถูกเปิดใช้งานอัตโนมัติในการถ่ายภาพนิ่ง การทำงานของมันคือ จะจับภาพก่อนและหลังในขณะที่เราแตะปุ่มชัตเตอร์ โดยจะบันทึกเป็นไฟล์ภาพ .jpg และภาพเคลื่อนไหว .mov และเราเปิดดูภาพก็จะเห็นเป็นภาพนิ่งปกติ แต่เมื่อลองกดหน้าจอ (3D Touch) ลงบนภาพก็จะแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงสั้นๆ สำหรับบอกเล่าเรื่องราว ณ เวลานั้น และภาพที่ได้นี้สามารถนำไปตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์ได้ตามปกติ หรือจะเปิดดูภาพเหล่านี้บนอุปกรณ์ iDevice ตัวอื่น ๆ หรือเครื่อง Mac ก็ได้เช่นกัน
Battery
ใน iOS 9 เพิ่มการจัดการแบตเตอรี่ได้ดีกว่าเดิม ตัดการใช้งานแบตที่ไม่จำเป็นออก และเพิ่มโหมดประหยัดพลังงาน Low Power Mode ขึ้นมา เมื่อแบตลดเหลือ 20 % จะมีหน้าจอแจ้งเตือนว่าเราต้องการจะเปิดใช้โหมดนี้หรือไม่ เมื่อเปิดใช้ก็จะปิดฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นลงไป เช่น การดึงอีเมล์ การเรียก Hey Siri แอพที่ทำงานเบื้องหลัง การดาวน์โหลดอัตโนมัติ ซึ่งหลังจากลองทดสอบเปิดใช้งานโหมดนี้ แล้วลองไม่ใช้งานเครื่องดู สามารถสแตนด์บายได้นาน 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีการปรับปรุงในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก เช่น เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นโดยการเพิ่มเลข passcode สำหรับปลดล็อคจาก 4 ตัวเป็น 6 ตัว รวมทั้งการเพิ่มระบบปลดล็อคเพื่อยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกในการอัพเดท iOS ให้กับผู้ใช้ด้วย โดยใช้เนื้อที่สำหรับการอัพเดทน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งมักพบปัญหานี้กับผู้ที่ใช้ไอโฟนโดยเฉพาะรุ่นความจุ 16 GB
สำหรับแอพที่มาพร้อมกับ iOS 9 ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
-Notes ที่ทำเป็นเช็คลิสต์ได้ เพิ่มรูปลงในโน้ตด้วยการถ่ายหรือเรียกจาก Library หรือจะเพิ่มแผนที่ ลิงค์ เอกสารจากแอพใดๆก็ได้ และที่ดูจะเป็นฟีเจอร์เด่นก็คือ สามารถวาด ขีดเขียนด้วยนิ้วบนโน้ตโดยเลือกประเภทของปากกาและเลือกสีที่จะใช้ได้
-Maps เพิ่มข้อมูลเส้นทางและการนำทางของระบบขนส่งมวลชนเพื่อให้เราเดินทางได้สะดวกที่สุด เช่น เดินออกที่ประตูไหน หรือต้องไปรอรถเมล์ตรงป้ายไหน นอกจากนี้เมื่อเราสั่งค้นหาใน Maps ก็จะแสดงรายชื่อร้าน อาคาร ปั๊มน้ำมัน หรือสิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณรอบๆให้ด้วย จะแวะช็อปแวะทานหรือเข้าห้องน้ำก็สะดวกขึ้นกว่าเดิม ฟีเจอร์นี้ใช้ได้กับเมืองใหญ่ๆ ส่วนไทยคงต้องรอกันไปก่อน
-iCloud Drive เพิ่มแอพ iCloud Drive ที่ช่วยให้เราเข้าถึงไฟล์ที่จัดเก็บไว้กับ iCloud ได้อย่างรวดเร็ว จะค้นหาไฟล์หรือเรียกดูไฟล์ทั้งหมดตามวันที่ ชื่อไฟล์ ชื่อที่แท็กไว้บน Mac หรือจะดูตัวอย่างและจัดระเบียบไฟล์ผ่านแอพได้เลย สำหรับแอพนี้จะถูกซ่อนไว้ เราจะต้องสั่งให้แสดงก่อน โดยหลังจากที่ล็อกอินเข้าใช้งาน iCloud แล้ว ตรงหัวข้อ iCloud Drive ให้เปิดใช้คำสั่ง Show on Home Screen อีกที
สำหรับคนที่ใช้ iPhone 6 หรือ 6 Plus อยู่แล้วอาจไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่กับ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 6s และ 6s Plus เนื่องจากภาพรวมจะเป็นแค่การอัพเกรดสเป็คเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ใช้ iPhone รุ่นต่ำกว่า 5s ลงไปอาจจะตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาใช้ไอโฟนรุ่นใหม่นี้ได้ไม่ยาก อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ความพอใจและเงินในกระเป๋าแล้วกันล่ะ ^ ^